แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Power supply แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Power supply แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

Power Supply

แหล่งจ่ายไฟแบบสวิตชิ่งสำหรับคอมพิวเตอร์
(Power Supply)

 
         แหล่งจ่ายไฟหรือที่มักจะเรียกทับศัพท์กันว่า"เพา เวอร์ซัพพลาย"เป็นส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป เนื่องจากว่า มาตรฐานการคำนวณปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเครื่องพีซีค่อนข้างจะแน่นอนและมีความ เชื่อถือได้คือถ้านำมาประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วสามารถทำงานได้อย่าง ดีไม่มีปัญหาก็มักจะไม่สนใจในด้านนี้และถูกละเลยไป
         ปกติแล้วมักจะไม่ค่อยมีการเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลายกันนัก ถ้าไม่ใช่เนื่องจากตัวเก่าที่ใช้อยู่เกิดเสียหายโดยมากเราจะเลือกซื้อกันที่ เคสของเครื่องมากกว่าซึ่งเกือบทั้งหมดจะขายมาพร้อมกับเพาเวอร์ซัพพลายเลยและ มักจะมีขนาดเหมาะสมกับตัวเครื่อง คือ ถ้าเครื่องเล็ก ๆ ใส่อุปกรณ์ เพิ่มเติมได้ไม่มากก็จะให้เพาเวอร์ซัพพลายขนาดเล็ก แต่ถ้าเครื่องใหญ่ก็จะใส่ตัวใหญ่ให้
         ประเด็นหลักในการเลือกเพาเวอร์ซัพพลายไม่ว่าจะซื้อพร้อมเครื่อง หรือซื้อเฉพาะตัว เพาเวอร์ซัพพลายเองก็ตาม มี 2 เรื่องที่สำคัญก็คือ ประเภทและขนาดประเภทในที่นี้หมายถึงแรงดันไฟฟ้าที่เพาเวอร์ซัพพลายนั้น จ่ายออกมาและขั้วต่อสำหรับเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ซึ่งจะต้องเลือกให้ตรงกับเมนบอร์ดที่ใช้ด้วย ก็คือจะต้องเลือกว่าเป็นแบบ AT หรือ ATX แบบ AT คือแบบที่มีมาแต่ดั้งเดิมนานแล้ว ส่วนแบบ ATX จะเป็นรุ่นใหม่กว่าที่กำลังเข้ามาแทนที่แบบ AT จบเกือบหมดแล้วเหมือนกันและมีมาตรฐานแรงดันและสัญญาณต่าง ๆ แตกต่างกันด้วย ดังที่จะอธิบายรายละเอียดต่อไปส่วนในกรณีของขนาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ขนาดใหญ่หรือเล็ก (แม้ว่าจะแปรผันกันก็ตาม) แต่หมายถึง กำลังไฟฟ้าสูงสุดที่สามารถจ่ายได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะหมายถึงกำลังไฟฟ้ารวม
         ทั้งหมดทุกแรงดันไฟฟ้าที่เพาเวอร์ซัพพลายนั้นสามารถจ่ายออกมา ตัวเลขนี้ถ้าไปเดินหาซื้อตามร้านเองก็จะมีอยู่ 3 ขนาดถือขนาดเล็ก 200 วัตต์ , กลางซึ่งมีมากที่สุด 250 วัตต์ และใหญ่ 300วัตต์ แต่ถ้าในเครื่องที่มีจำหน่ายอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์เนมต่าง ๆ ที่มีขายในเคสรูปร่างเล็ก ๆ หรือแปลก ๆ ไม่เหมือนทั่ว ๆ ไป อาจใช้เพาเวอร์ซัพพลายที่เล็กมาก ๆ ก็ได้ ได้แก่ 100วัตต์ , 130 วัตต์ , 150 วัตต์เท่านั้น ซึ่งมักจะดูได้จากสเป็คของเครื่องนั้น ๆ โดยเพาเวอร์ซัพพลายเหล่านี้อาจจะเป็นรุ่นที่ใช้มาตรฐาน NLX , SFZ , WTX ซึ่งเป็นมาตรฐานย่อยของ ATX อีกทีหนึ่ง ส่วนเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับ Pentium 4 นั้นอาจจะต้องใช้ขนาดสูงสุดถึง 350 หรือ 400วัตต์ก็เป็นได้
         จะเห็นได้ว่า เพาเวอร์ซัพพลายขนาด 100 วัตต์ก็ดูเหมือนจะเพียงพอแล้ว ซึ่งก็เป็นความ จริงสำหรับเครื่องที่มีแค่ส่วนประกอบพื้นฐาน คือ เมนบอร์ด ซีพียูรุ่นที่กินไฟไม่มากนัก การ์ดบางการ์ด ฮาร์ดดิสห์ 1 ตัว ไดรว์ซีดีรอมและฟล็อปปี้ดิสกื แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับซีพียู บางรุ่นที่แม้จะมีเพียงแค่ส่วนประกอบพื้นฐานเหล่านี้ก็ตาม แต่ก็กินไฟเยอะมาก เช่น ซีพียูรุ่นใหม่ความเร็วสูง ๆ ระดับ GHz ทั้งหลาย
         ถ้าเพาเวอร์ซัพพลายมีขนาดที่ใหญ่หน่อย ก็สามารถรองรับฮาร์ดดิสก์ได้มากตัวขึ้นสามารถใส่ไดรว์ CD-R เพิ่มไปจากซีดีรอมที่มีอยู่แล้ว เสียบการ์ดจอแรง ๆ ที่มีความเร็วสูงและต่อพ่วงอุปกรณ์ทาง USB ได้มากขึ้น รวมทั้งมีเสถียรภาพในการทำงานที่ดีด้วย แต่ราคาก็อาจจะสูงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้เมื่อขนาดใหญ่ขึ้นเสียงพัดลมก็มักจะดังขึ้นตามไปด้วย (เพราะต้องระบายความร้อนมากกว่าตัวเล็ก ๆ )

หน้าที่และการทำงานของเพาเวอร์ซัพพลาย
          กระแสไฟที่ใช้อยู่ตามบ้านมาจากโรงไฟฟ้าโดยอยู่ในรูปแบบของไฟสลับ แรงดันสูง เช่น220 โวลต์ในบ้านเรา แต่กระแสไฟที่อุปกรณ์ทุกชนิดที่คอมพิวเตอร์ใช้ (และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ทุกชนิด) จะต้องเป็นไฟตรงแรงดังต่ำ หน้าที่ของเพาเวอร์ซัพพลายก็คือจะต้องแปลงไฟสลับแรงดันสูง ที่อาจจะขึ้นลงไม่แน่นอนและมีหลายระดับแรงดัน ให้เป็นไฟตรงแรงดันต่ำที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องการรวมทั้งจะต้องมีไฟพิเศษและสัญญาณต่าง ๆ อีกมากมายที่จำเป็นสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
          การทำงานของเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ จะไม่ได้ใช้วงจรแปลงไฟง่าย ๆ แบบที่ใช้ในอะแดปเตอร์ทั่วไป เนื่องจากกำลังไฟฟ้าที่จะต้องจ่ายออกมานั้นสูงกว่ากันมากดังนั้นแม้จะมี หน้าที่เดียวกันแต่ก็มีวิธีทำงานที่แตกต่างกัน คือ แทนที่จะทำงานแบบตรง ๆ หรือlinear คือ รับไฟเข้ามาแล้วก็แปลงออกไปเหมือนในอะแดปเตอร์ต่าง ๆ ซึ่งมีการสูญเสียพลังงานมาก ก็ใช้การทำงานสวิทซิ่ง (switching) แทน (ชื่อเต็ม ๆ คือ constantvoltage , half-bridge ,forward-converting switching power supply) ซึ่งมีความซับซ้อนกว่ากันมาก โดยทำงานแบบclosed-loop feedback คือมีการป้อนสัญญาณขาออกกลับมาชดเชยเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ (ราบเรียบและคงที่) ดังในแผนผังนี้

          ข้อดีของการทำงานแบบนี้คือ มีประสิทธิภาพในการแปลงไฟสูง ดังนั้นเมื่อต้องจ่ายกำลังไฟมาก ๆ ก็จะเกิดการสูญเสียพลังงาน (ที่จะกลายเป็นความร้อน) ไม่มากนัก ทำให้ระบายความร้อนทิ้งออกไปได้ง่ายขั้น ส่วนข้อเสียคือ การทำงานของวงจรสวิทชิ่งซึ่งจะทำงานที่ความถี่สูงมากทำให้เกิดสัญญาณความถี่ สูงแผ่กระจายออกมารบกวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในและนอกตัวเองเครื่องได้ ดังนั้นส่วนประกอบทั้งหมดจึงถูกบรรจุอยู่ในกล่องโลหะเพื่อให้มีสัญญาณรบกวน เล็ดรอดออกมาน้อยที่สุด
แรงดันไฟขาออกของเพาเวอร์ซัพพลาย
          มาตรฐานเพาเวอต์ซัพพลายของเครื่องพีซีได้ถูก กำหนดให้มีแรงดันขาออกไฟตรง เพื่อใช้ สำหรับอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ ที่ต้องการแรงดันไม่เท่ากัน ทั้งไฟบวกและไฟลบ เมื่อเทียบกับระดับไฟ 0 โวลต์หรือกราวนด์โดยมีกระแสที่จะต้องจ่ายได้ไม่เท่ากัน (เป็นแอมเปร์ หรือ “แอมป์” เขียนย่อว่า A) ตามปริมาณความมากน้อยในการใช้งานดังต่อไปนี้ 
-12V ไฟ-12V ใช้สำหรับสัญญาณเชื่อมต่อของพอร์ตอนุกรม (serial port หรือ com port) คู่กับไฟ +12V เท่านั้นซึ่งสัญญานี้แทบจะไม่ได้ใช้แล้วในปัจจุบัน ถ้าใช้ก็ไม่มากนัก จึงมีกระแสที่จ่ายออกมาได้ไม่เกิน 1 แอมป์เท่านั้น
-5V เมื่อก่อนนี้ไฟ –5โวลต์ ใช้กับไดรว์ฟล็อปปี้ดิสก์และวงจรของการ์ด ISA บางตัว ซึ่งต้องการกระแสไม่มากนัก จึงจำกัดอยู่ทีไม่เกิน 1 แอมป์เท่านั้น
OV หมายถึง กราวนด์ ซึ่งใช้เทียบกับสัญญาณไฟต่าง ๆ ในเครื่อง
+3.3V เป็นแรงดันใหม่ที่เพิ่งมีในยุคหลังที่ซีพียู เริ่มทำงานที่แรงดันไฟต่ำกว่า 5โวลต์ ยุค Pentium เป็นต้นมา) มาตรฐานนี้เริ่มถูกกำหนดในเพาเวอร์
+5V ไฟ +5V ซึ่งเดิมมีบทบาทมากในเครื่องและเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATก็ยังคงต้องใช้อยู่มากในปัจจุบันสำหรับเมนบอร์ดและไดรว์ต่าง ๆ ซึ่งยังทำงานที่ 5 โวลต์อยู่
+12V ไฟ + 12V เป็นแรงดันไฟสำหรับมอเตอร์ของดิสก์และพัดลมเป็นหลักนอกนั้นก็จะมีอุปกรณ์ อื่น ๆ ได้แก่ สัญญาณพอร์ตอนุกรมและการ์ดบางตัวที่ยังต้องการใช้อยู่
          แรงดัน +3.3V , 5V และ 12V จะจ่ายกระแสได้มากน้อยแตกต่างกันไปตามรุ่นของเพาเวอร์ซัพพลายตัวนั้นที่ได้ถูกออกแบบมา
สัญญาณต่างๆ
          นอกเหนือไปจากแรงดันไฟฟ้าที่จำเป็นแล้ว เพาเวอร์ซัพพลายเองจะต้องมีสัญญาณเข้าและ
ออกอีกมากมาย เพื่อการทำงานกับเมนบอร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
         "Power Good"คือ สัญญาณบอกว่ามีไฟเลี้ยงแล้วจ้า โดยทันทีที่เราจ่ายไฟให้กับเพาเวอร์ซัพพลาย เช่นด้วยการเปิดสวิทซ์เครื่อง เมนบอร์ดจะยังไม่เริ่มทำงานจนกว่าเพาเวอร์ซัพพลายส่งสัญญาณ Power Good นี้ออกมา ก็คือรอจนกว่าเพาเวอร์ซัพพลายจะตรวจสอบเสร็จว่าไฟเลี้ยงต่าง ๆ ที่จ่ายออกมาอยู่ในระดับที่ต้องการและคงที่แล้ว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวินาที เวลาเพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถทำงานได้นับล้านคำสั่ง จึงต้องใช้สัญญาณนี้หยุดไว้ยังไม่ให้เริ่มทำงานจนกว่าแรงดันไฟฟ้าจะสมบูรณ์ นั่นเอง บางครั้งจะเรียกสัญญาณนี้ว่า Power OK หรือOK
          ในกรณีที่เพาเวอร์ซัพพลายเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างที่ทำงานอยู่ สัญญาณนี้ก็จะหายไปเช่น อาจเกิดจากไฟตก ไฟกะพริบ ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็จะหยุดทำงานไปจนกว่าสัญญาณนี้จะกลับมาใหม่ ก็ทำให้เหมือนเครื่องถูกรีเซ็ตได
          สัญญาณ Power Good นี้มีมาตั้งแต่เพาเวอร์ซัพพลายตัวแรกของเครื่องพีซี มีลักษณะเป็นแรงดันไฟ +5 โวลต์ ซึ่งเพาเวอร์ซัพพลายราคาถูก ๆ บางตัวอาจจะไม่มีวงจรอะไรพิเศษ
          "Soft Power"เครื่องพีซี สมัยก่อนและที่ปัจจุบันเรียกว่า แบบ AT จะมีสวิทซ์เปิดปิดวงจรไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไปให้กับเพาเวอร์ซัพพลายโดยตรงเหมือ นสวิทซ์ปิดเปิดไฟตามบ้านทั่วไป แต่ในยุคของเครื่องแบบ ATX ซึ่งรวมไปถึง NLX , SFX และ WTX ได้เปลี่ยนวิธีการปิดเปิดเครื่องไปเป็นการใช้สัญญาณบอกให้เพาเวอร์ซัพพลาย เปิดหรือปิดเครื่อง เหมือนกับการใช้รีโมตคอนโทรลเปิดปิดทีวีสมัยนี้นั่นเอง วิธีการแบบนี้เรียกว่า Soft Power ซึ่งทำให้ Windows สามารถสั่งปิดเครื่องได้และผู้ใช้สามารถเปิดคอมพิวเตอร์ด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น กดปุ่มบนคีย์บอร์ดแทนการกดสวิทซ์หน้าเครื่อง
          
         "Power on"สัญญาณที่ใช้เปิด ปิดเครื่องนี้เรียกว่า Power on หรือ PS on ซึ่งจะเป็นไปได้ก็คือจะต้องมีไฟเลี้ยงเครื่องอยู่เล็กน้อยตลอดเวลา เหมือนกับที่คุณเห็นทีวีมีไฟเรืองแสงอยู่ ไฟเลี้ยงนี้เรียกว่า +5V Stand by หรือ +5V SB ซึ่งเป็นไฟ +5 โวลต์ที่จ่ายออกมาจากเพาเวอร์ซัพพลายอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะสั่งปิดไปแล้วก็ ตาม นอกจากจะจ่ายเพื่อให้สามารถเปิดปิดเครื่องในแบบsoft Power ได้แล้วยังช่วยให้สามารถสั่งเปิดเครื่องด้วยสัญญาณอื่น ๆ ได้อีก ได้แก่ เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาที่โมเด็ม (Wake on Ring) หรือผ่านทางระบบเครือข่าย (Wake on LAN)
          นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้ว เพาเวอร์ซัพพลายบางตัวยังอาจจะมีสัญญาณอื่น ๆ ซึ่งได้กำหนดไว้ในมาตรฐานแล้ว่าไม่จำเป็น คือ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น +3.3V SB (Stand by)ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATX , สัญญาณ Fan ON/OFF ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบ SFX และสัญญาณอื่น ๆ ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATX และ NLX ดังนี้
          "+3.3V Sense" เป็นตัวบอกกับเมนบอร์ดว่าไฟเลี้ยง +3 นั้นอยู่ในสถานะที่ดีหรือไม่เพื่อแสดงสถานะของไฟเลี้ยง +3.3V ซึ่งถือได้ว่าสำคัญมากเนื่องจากใช้เลี้ยงซีพียูและ RAM นั่นเอง โดยไฟ +3.3V อาจจะตกโดยที่ไฟอื่น ๆยังดีอยู่ก็เป็นได้
          "Fan C" เป็นสัญญาณควบคุมพัดลม เพื่อให้ความเร็วพัดลมของเพาเวอร์ซัพพลายเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไปได้ เช่น เมื่อเครื่องเข้าสู่ Stand by mode ก็สั่งหยุดพัดลมของเพาเวอร์ซัพพลายด้วยการส่งสัญญาณที่ต่ำกว่า 1 โวลต์ไป
          "Fan M" ใช้คู่กับ Fan C เป็นสัญญาณ monitor เพื่อตรวจสอบว่าขณะนี้พัดลมของเพาเวอร์ซัพพลายหมุนด้วยความเร็วเป็นอย่างไร เพื่อจะเตือนหรือหยุดการทำงานของซีพียูถ้าพัดลมทำงานผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสียหายเมื่อระบบระบายความร้อนมีปัญหา
สัญญาณของเมนบอร์ด ATX
      นอกจากนี้ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบของเมนบอร์ด ATX ยังเพิ่มสัญญาณต่อไปนี้อีกด้วย
          "Sleep" สั่งให้เพาเวอร์ซัพพลายเข้าสู่ Sleep mode
          "+3.3V" AUX เป็นไฟ + 3.3V Stand by เหมือนกับของ +5V
          "+5V Sense" ใช้บอกสถานะของไฟ +5V เหมือนกับของ +3.3V

ส่วนประกอบของเพาเวอร์ซัพพลาย
          เพาเวอร์ซัพพลายประกอบด้วย ส่วนต่าง ๆ มากมาย และเป็นส่วนประกอบที่ทำงานด้วยไฟแรงสูง จึงไม่ควรถอดรื้อด้วยตนเองส่วนประกอบของเพาเวอร็ซัพพลายพอจะแสดงให้เห็นได้ คร่าว ๆ ดังนี้
          "ตัวกล่อง" ตัวกล่องจะทำด้วยโลหะยึดติดกันด้วยสกรู มีรูปร่างและขนาดซึ่งอาจจะต่างกันไป สำหรับเคสแต่ละตัว แต่ละชนิดมีหน้าที่ปกปิดส่วนประกอบภายในที่อันตรายต่อการจับต้องและป้องกัน สัญญาณความถี่สูงออกมารบกวนภายนอก
          "เต้าเสียบสายไฟ" ปกติแล้วเพาเวอร์ ซัพพลายจะมีช้องสำหรับเสียบสายที่ต่อเข้ากับปลั๊กไฟบ้าน แยกไว้ต่างหากเพื่อสะดวกกับการถอดใส่ในบางรุ่นจะมีช่องสำหรับต่อพ่วงสายไฟ เลี้ยงจอภาพให้อีกต่างหากเพื่อผ่านสวิทซ์ตัวเดียวกันกับตัวเครื่อง แต่เมื่อมาถึงยุค ATX ซึ่งมีคุณสมบัติ Soft Power ช่องต่อพ่วงนี้ก็ได้หายไปเนื่องจากไม่มีการตัดต่อไฟเลี้ยงกันจริง ๆ คุณสมบัตินี้ในปัจจุบันได้กลับมาใหม่โดยเป็นการต่อพ่วงกับสายไฟที่เสียบเข้า โดยตรงนั่นเอง คือ ไม่ผ่านสวิทซ์ใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งนี้ก็เพียงพอเพื่อความสะดวกในการใช้งานจอภาพเท่านั้น
          "สวิทซ์ปิดเปิด" ในสมัยก่อนสวิทซ์ที่ตัว เครื่องจะต่อพ่วงกับเพาเวอร์ซัพพลาย เมื่อกดเปิด ไฟสลับจะผ่านเข้าไปจ่ายให้กับวงจรจริง ๆ แต่ในเมนบอร์ดและพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX สวิทซ์หน้าเครื่องจะต่อเข้ากับขั้วต่อสัญญาณบนเมนบอร์ดซึ่งจะส่งสัญญาณไปให้ เพาเวอร์ซัพพลายปิดเปิดการจ่ายไฟอีกทีหนึ่ง เพาเวอร์ซัพพลายชนิดนี้บางตัวจึงมีสวิทซ์อยูที่กล่องเพาเวอร์ซัพพลายเองต่าง หากอีกตัวหนึ่ง เพื่อใช้ปิดเปิดการทำงานของเพาเวอร์ซัพพลายเช่นเดียวกับสวิทซ์ที่ตัวเครื่อง ในสมัยก่อน
          "สวิทซ์เลือกแรงดัน" ที่กล่องเพาเวอร์ ซัพพลายส่วนใหญ่จะมีสวิทซ์สำหรับเลือกแรงดันที่จะต่อเข้ากับเพาเวอร์ซัพพลาย ว่าเป็น 220 หรือ 110 โวลต์ ซึ่งจะต้องเลือกให้ถูกต้องตรงกับการใช้งาน ถ้าเลือกผิดอาจจะทำให้เกิดการชอร์ตหรือระเบิดได้ เพาเวอร์ซัพพลายราคาถูกอาจจะไม่มีสวิทซ์ให้เลือกและออกแบบมาให้ใช้กับแรงดัน ไฟระดับเดียวเท่านั้น
          "วงจรแปลงไฟ" ภายในกล่องจะประกอบไปด้วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่แปลงไฟและรองรับการทำงาอื่น ๆองเพาเวอร์ซัพพลายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
          "พัดลม" นอกจากนี้ในกล่อง ยังจะมีพัดลมสำหรับทำหน้าที่ระบายอากาศอยู่ด้วย โดยมากจะเป็นพัดลมขนาด 3 หรือ 4 นิ้ว แล้วแต่ขนาดของเพาเวอร์ซัพพลาย และทำงานด้วยไฟ 12 โวลต์ พัดลมในเพาเวอร์ซัพพลายและพัดลมที่ใช้คิดเพิ่มเติมกับตัวเครื่องจะมีลักษณะ เดียวกัน ข้อแตกต่างระหว่างพัดลมราคาถูกกับราคาแพงก็คือ ลูกปืนของมอเตอร์ที่ใช้ ซึ่งของราคาถูกจะใช้ sleeve bearing ที่มักจะติดขัดได้ง่ายหลังจากที่ใช้ไปไม่กี่ปี ในขณะที่แบบหลังจะใช้ ball bearing ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
          พัดลมมักเป็นส่วนที่เสียก่อนเพื่อน เพราะการที่หมุนอยู่ตลอดเวลาทำให้ฝุ่นผงเข้าไปจับและทำให้เกิดติดขัด ผลคือมอเตอร์อาจทำงานหนักจนเสียได้ และเมื่อหยุดทำงานก็จะทำให้ขาดการระบายความร้อนและเกิดความเสียหายกับ อุปกรณ์ต่าง ๆ ตามมา
         "ฟิวส์ (Fuse)" ส่วนใหญ่ภาย ในกล่องเพาเวอร์ซัพพลายจะมีฟิวส์ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากการใช้ไฟ เกิดขนาด ซึ่งมักจะเกิดจากความเสียหายภายในตัวเพาเวอร์ซัพพลายเอง เพราะส่วนใหญ่แล้วเพาเวอร์ซัพพลายจะมีระบบป้องกันการจ่ายไฟเกินอยู่แล้ว โดยที่หากมีการจ่ายกระแสมากเกิดกำหนดก็จะตัดไฟไม่ให้จ่ายออกมาทำให้ลดความ เสียหายลงได้ แต่ถ้าเกิดการชอร์ตภายในตัวเพาเวอร์ซัพพลายเองก็จะต้องอาศัยฟิวส์เป็นตัว ป้องกัน ซึ่งถ้าฟิวส์ขาด โอกาสที่จะเปลี่ยนฟิวส์ใหม่แล้วใช้ได้นั้นเป็นไปได้น้อยมาก เพราะว่าวงจรภายในตัวเพาเวอร์ซัพพลายเองมีปัญหาแล้ว
คำเตือน จะเห็นได้ว่าไม่มีประโยชน์ใด ๆ ที่จะพยายามเปิดกล่องเพาเวอร์ซัพพลายออกมาซ่อมแซม จึงไม่แนะนำให้ทำเพราะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ขั้วต่อต่าง ๆ
สายที่ต่อออกจากกล่องเพาเวอร์ซัพพลายจะมีลักษณะแตกต่างกันเพื่อใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้
           "ขั้วต่อกับเมนบอร์ด"ขั้วที่ใช้ต่อเข้า กับเมนบอร์ดจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากมีทั้งไฟเลี้ยงและสัญญาณมากมายจะต้องต่อเชื่อม ในยุคเริ่มแรกหรือแบบที่เรียกว่า AT จะมี 2 ขั้วต่อสำหรับเมนบอร์ดที่มักจะเรียกว่า P8 กับ P9 ขั้วต่อเหล่านี้จะมีสายไม่มากนัก เนื่องจากมีเพียงสัญญาณPower Good กับไฟ +5V , +12V , -12V และกราวด์เท่านั้น โดย +5V และกราวด์ จะมีหลายเส้นเนื่องจากจะต้องจ่ายกระแสไฟปริมาณมาก ซึ่งสายไฟขนาดต่าง ๆจะมีความสามารถในการรองรับกระแสได้จำกัดดังที่ได้แสดงไว้ในตาราง
AWG
เส้นผ่านศูนย์กลาง (มม.)
พื้นที่หน้าตัด (ตารางมม.)
รับกระแสได้สูงสุดโดย
ประมาณ (แอมป์)
16
1.29
1.31
19
18
1.02
0.82
15
20
0.81
0.52
10
22
0.644
0.33
8
          ปกติแล้วสีของฉนวนหุ้มสายไฟก็จะแตกต่างกันไปเพื่อ แสดงให้เห็นว่าเป็นไฟต่างชนิดกันแต่ก็ไม่มีการกำหนดมาตรฐานที่แน่นอนไว้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สีดำเป็นกราวด์ (0 โวลต์) และแดงเป็น +5V
          ขั้วต่อของเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ลดความเสี่ยงในการติดผิดได้ โดยใช้ขั้วต่อชุดเดียวที่มี 20 ขั้วต่อและเสียบสลับข้างไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีกำหนดขนาดของสายไว้ชัดเจนว่าจะต้องเป็น AWG 18 โดยสายไฟ 3.3Vที่เพิ่มขึ้นมาจะเป็นสีส้ม
          นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรฐานสำหรับสายต่อเพิ่มเติมในกรณีของเพา เวอร์ซัพพลายที่ต้องจ่ายไฟมาก ๆ ให้มีสายเพิ่มอีก 1 ชุด เป็นเบอร์ AWG 16 จำนวน 6 ขั้วต่อ สำหรับ +3.3V 2 เส้น , +5V และกราวนด์อีก 3 เส้น ส่วน SFX และ WTX ก็จะมีเพิ่มเติมอีกต่าง ๆ กันออกไป
          "ขั้วต่อเมนบอร์ด Pentium 4" สำหรับเมนบอร์ดของ Pentium 4 พาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้จะต้องมีขั้วต่อเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นพิเศษ เพื่อจ่ายไฟที่เพิ่มมากขึ้นให้แก่ เมนบอร์ดได้ และต้องใช้แหล่งจ่ายไฟที่จ่ายกระแสได้สูงขึ้นด้วย ซึ่งขั้วต่อนี้ไม่มีอยู่ในแหล่งจ่ายไฟ ATX รุ่นเดิม ๆ ดังนั้นเมนบอร์ดนี้จึงต้องใช้กับแหล่งจ่ไฟเฉพาะสำหรับ Pentium 4 ด้วยเช่นกันดังรูป
          "ขั้วต่อไดรว์ต่าง ๆ" ขั้ว ต่อดิสก์ไดรว์จะมีลักษณะที่ต่างจากขั้วต่อเมนบอร์ด โดยมีอยู่ 2 ขนาดคือ ขนาดเล็กสำหรับฟล๊อปปี้ดิสก์ และขนาดใหญ่สำหรับอาร์ดดิสก์และไดรว์ซีดีรอม โดยทั้งหมดจะมีสาย 4 เส้นเหมือน ๆ กัน คือ ไฟ + 5V. + 12V กับกราวด์ 2 เส้น
สเป็คของเพาเวอร์ซัพพลาย
          ถ้าสนใจที่จะศึกษาหรือเรียนรู้เพิ่มเติมไม่ ว่าเพื่อการเลือกซื้อหรือประโยชน์อื่น ก็ควรจะทราบว่ามีจุดใดบ้างที่จะต้องพิจารณาและมีความหมายว่าอย่างไร
          "สเป็คและรายละเอียดทางกายภาพ" ขนาดและรูปแบบของตัวเพาเวอร์ซัพพลายก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าต้องการซื้อมาใช้ในเครื่องที่มี
อยู่แล้ว รูปแบบหรือ Form Factor ก็คือ พิจารณาว่าเป็น ATX , micro ATX หรือ ATธรรมดา (ถ้ายังต้องการใช้อยู่)
          ขั้วต่อกับเมนบอร์ดก็เป็นส่วนสำคัญที่แบ่งแยกกันชัดเจนถึงรูปแบบ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดที่ใช้ ได้แก่ AT , ATX , SFX , WTX เป็นต้น ส่วนขั้วต่อไดรว์ก็ต้องดูว่ามีขนาดเล็กจำนวนเพียงพอหรือไม่ ขนาดใหญ่มีเท่าไร ส่วนพัดลมก็มักจะไม่บอกว่าใช้ sleeve beating หรือ
ball bearing ส่วนทิศทางการเป่าลมก็มักจะไม่รู้จนกว่าจะทดลองเปิดดู แต่ที่เห็นแน่ ๆ ก็คือไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก แรงดันก็มักจะเป็น 12 โวลต์ ส่วนความสามารถในการเป่าลมจะวัดเป็นCFM (Cubic Feet per Minute) คือ กี่ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที ซึ่งยิ่งมากก็ยิ่งดี
          "สเป็คเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการทำงาน" ได้แก่ อุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ ซึ่งหมายถึง่วงอุณหภูมิภายนอกว่าต่ำสุดเท่าไรและสูงสุดเท่าไร ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิห้องของบ้านเรา (0-50°C)
          ส่วนอุณหภูมิในการเก็บ (storage temperature) ก็คือ อุณหภูมิขณะที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมักจะเป็นช่วงกว้างกว่าอุณหภูมิที่ใช้งาน ความชื้น (humidity) ก็มักจะเป็นความชื้อสัมพัทธ์ระหว่าง 10-90% และความสูงของพื้นที่จากระดับน้ำทะเล (altitude) ก็มักจะเป็นตัวเลขทีไม่มีปัญหาแม้จะเอาเครื่องขึ้นไปบนยอดดอยอินทนนท์ก็ตาม
          "ช่วงแรงดันไฟฟ้าเข้าที่รับได้"  เป็น ตัวเลขที่สำคัญ โดยมากเวลาพูดถึงแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ จะพูดถึงตัวเลขเฉลี่ยคือ 115โวลต์หรือ 230 โวลต์ แต่ช่วงแรงดันไฟที่รับได้จริง ๆ อาจจะอยู่ระหว่าง 85-135 โวลต์หรือ170-270 โวลต์ ซึ่งถ้าไฟบ้านไม่เกินไม่ตกมากจนเกินไปก็มักจะอยู่ในช่วงที่เพาเวอร์ซัพพลาย เตรียมไว้ให้รับได้อยู่แล้ว ส่วนสำคัญก็คือ เลือกช่วงแรงดันได้หรือไม่ถ้าอาจจะมีการนำไปใช้ในประเทศอื่น ๆ ในส่วนของความถี่ของไฟบ้านก็มักจะรับได้ทั้ง 50Hz และ 60Hz อยู่แล้วโดยมี ช่วงอยู่ระหว่าง 48-62 Hz ตัวเลขสุดท้าย คือ Power Factor เป็นตัวเลขที่บอกให้เห็นประสิทธิภาพการแปลงแรงดันของเพาเวอร์ซัพพลายว่าใน ขนาดกำลังไฟที่ใช้นั้นต้องการกำลังไฟมากน้อยเพียงใด โดยมากจะทำงานอยู่ที่ 60-70% ซึ่งตัวเลขยิ่งสูงก็ยิ่งดี
          "สเป็คเกี่ยวกับที่จ่ายไฟออก" สเป็คที่สำคัญที่สุดก็คือ ไฟที่จ่ายออกมาจากเพาเวอร์ซัพพลายซึ่งแสดงให้เห็นการทำงานที่
ของมันว่า ทำได้ดีเพียงใด ตัวเลขหลักที่พูดถึงเสมอก็คือ สามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเท่าใด (Output Rating) ในหน่วยเป็นวัตต์ ซึ่งเป็นตัวเลขคร่าว ๆ อาจไม่เพียงพอต่อการพิจารณาความสามารถ ในการจ่ายไฟจริงก็ได้ แท้ที่จริงแล้วจะต้องดูที่ความสามารถในการจ่ายกระแสได้สูงสุดสำหรับแต่ ละค่าแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายออกมา และอาจจะต้องดูตัวเลขกำลังไฟฟ้ารวมของแรงดันไฟ +3.3V กับ +5V ว่ารวมแล้วไม่เกินกว่าเท่าใด เพราะมักจะมีผลกระทบต่อกัน (ขึ้นอยู่กับการออกแบบ) ตัวเลขการจ่ายไฟของไฟ + 12V ก็อาจจะมีแสดงทั้งตัวเลขขณะจ่ายไฟต่อเนื่องตามปกติกับขณะที่มีความต้องการ สูงในช่วงสั้น ๆ (Peak Output) ที่อาจเกิดขึ้นได้ตามปกติเช่น ตอนเปิดเครื่อง ใหม่ ๆ ที่มอเตอร์ของฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์อื่น ๆ บางตัวต้องใช้ไฟพร้อมกันในปริมาณมาก

          ตัวอย่าง ไฟขาออกของเพาเวอร์ซัพพลาย (ที่โฆษณาว่ามี) ขนาด 250 วัตต์ตัวหนึ่ง โดยจ่ายไฟได้สูงสุด 250 วัตต์ตลอดเวลา (Continuous Total DC Output Pattern) ดังนี้
แรงดัน
จ่ายกระแสได้สูงสุด (แอมแปร์)
คิดเป็นกำลังไฟฟ้า (วัตต์)
+12
13
12 x 13 = 156
+5V
25
5 x 25 = 125
+3.3V
16
3.3 x 16 = 52.8
-5V
0.3
5 x 0.3 = 1.5
-12V
1.2
12 x 1.2 = 14.4
รวม +5V และ +3.3V
-
ต้องไม่เกิน 150
รวม
-
156+150+1.5+14.4 = 321.9
          สังเกตว่ามีการบอกค่าสูงสุดของกำลัง ไฟฟ้ารวมสำหรับ +3.3V และ +5V ว่าต้องไม่เกินเท่าไหร่ด้วย จึงต้องใช้ค่ารวมนี้แทนการบอกแยกกัน ดังที่แสดงไว้ในตัวอย่างข้างต้น นอกจากนี้ค่ากำลังไฟรวมทั้งหมดที่เราบวกเองจากทุกแรงดันรวมกัน (321.9 วัตต์) ก็เป็นค่า Peak คือสูงสุดชั่วขณะหนึ่ง ๆ ซึ่งค่านี้ปกติจะมากกว่ากำลังไฟแบบต่อเนื่องที่จะต้องไม่เกิน 250 วัตต์เท่านั้น

การเลือกซื้อ Power Supply
         ปกติแล้วมักจะไม่ค่อยมีการเลือกซื้อเพาเวอร์ ซัพพลายกันนัก ถ้าไม่ใช่เนื่องจากตัวเก่าที่ใช้อยู่เกิดเสียหายโดยมากเราจะเลือกซื้อกันที่ เคสของเครื่องมากกว่าซึ่งเกือบทั้งหมดจะขายมาพร้อมกับเพาเวอร์ซัพพลายเลยและ มักจะมีขนาดเหมาะสมกับตัวเครื่อง คือ ถ้าเครื่องเล็ก ๆ ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติมได้ไม่มากก็จะให้เพาเวอร์ซัพพลายขนาดเล็ก แต่ถ้าเครื่องใหญ่ก็จะใส่ตัวใหญ่ การเลือกซื้อมีวิธีการดังนี้
- ถ้าใช้เครื่องรุ่นเก่าให้เลือกซื้อขนาด 300 วัตต์
- ถ้าเป็นรุ่นใหม่ขึ้นมาหรือ P4 ควรเลือกใช้ขนาด 350 วัตต์
- ถ้าปัจจุบันใหม่ขึ้นมาควรเพิ่มขนาดเป็น 400 วัตต์
การตรวจเช็คอาการเสียของเพาเวอร์ซัพพลาย
          Power Supply ที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน จะเป็นสาเหตุให้อุปกรณ์อื่นๆในคอมพิวเตอร์เสียหายได้ โดยเฉพาะ Harddisk ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบสภาพของ Power Supply อยู่เสมอ ถ้าพบว่าเสียหายควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนตัวใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป
Power Supply มี 2 แบบ
          แบบที่ 1. แบบ Linear มีหม้อแปลงใหญ่ขนาดใหญ่ ตัดวงจรโดย Fuse
          แบบที่ 2. แบบ Switching มี Transistor ทำหน้าที่ตัดวงจร
                     2.1 แบบ XT มีขนาดใหญ่ มีหัวเดียว 12 เส้น มี Switch ปิด-เปิดอยู่ด้านหลัง Power Supply
                     2.2 แบบ AT เล็กกว่า XT มีหัวเสียบ 2 หัว คือ P8 , P9 มีสวิทช์ปิด-เปิดโยงจาก Power Supply
มายังหน้า Case
                     2.3 แบบ ATX มีหัวเสียบเดียว 20 เส้น ไม่มี Switch ปิด-เปิด เมื่อสั่ง Shut Down จาก Program
เครื่องจะปิดเองโดยอัติโนมัติ
          * ถ้าต้องการตรวจสอบการใช้งานในขณะที่ไม่ได้ต่อกับ Mainboard ให้ Jump สายสีเทา (หรือสีเขียว) กับสีดำ พัดลมของ Power Supply จะหมุน แสดงว่าใช้งานได้
การใช้มิเตอร์วัดไฟ Power Supply
ดำ + ดำ = 0 V
ดำ + แดง = 5 V
ดำ + ขาว = -5 V
ดำ + น้ำเงิน = -12 V
ดำ + ส้ม = 5 V
ดำ + เหลือง = 3.3 V
ดำ + น้ำตาล = 12 V
* เข็มมิเตอร์ตีกลับ ให้กลับสาย ใช้ค่า ติด -
*AC=220 V (L กับ N)
L1 380 Vac
L2 380 Vac
L3 380 Vac
N Nutron , G ไม่มีไฟ
*230W (23A) - 300W (30A)
โดย W=V*I
ส่วนของ Power Supply ที่สามารถตรวจซ่อมได้
1. Fuse
2. Bridge
3. Switching
4. IC Regulator
5. C ตัวใหญ่
6. IC
Chart ประกอบการตรวจเช็ค Power Supply
วงจรเพาเวอร์ซัพพลาย (Block Diagram)

 ขอบคุณที่มา : http://www.star-circuit.com/article/POWER_SUPPLY01.html


วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำความรู้จัก Power supply

ต่อไปนี้ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นใด ในการทำการค้าหรือธุรกิจ กับ การที่ไปคัดลอก บทความของท่านอื่นมา ไว้ในบล๊อกของตัวเอง เห็นว่าบทความเป็นประโยชน์ต่องานของข้าพเจ้าเอง  อยากจะเก็บไว้อ่าน ศึกษา เพื่อพัฒนารอยหยักในสมอง อันน้อยนิด ให้มีเพิ่มขึ้นมาบ้าง ...ขอบพระคุณที่มาของบทความ ที่ข้าพเจ้าได้คัดลอก
รู้จัก Power supply

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไมได้เรียนจบมาทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ โดยตรง ความรู้ที่ได้มาจนถึงขั้นเป็นอาจารย์สอนซ่อมคอมพิวเตอร์ได้เกิดจากความสนใจ และใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาโดยไปหาเรียนเอาตามสถานที่สอนซ่อมคอมต่าง ๆ โดยมีอาจารย์-เพื่อนและตำราต่าง ๆ เป็นแหล่งข้อมูล  ดังนั้นผมจะไม่ขอใช้คำพูดเป็นภาพษาช่างหรือศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยากให้ เพื่อน ๆ งง เพราะผมก็งง ผมจะขอใช้คำเป็นลักษณะของผมเองให้เพื่อน ๆ เข้าใจง่ายที่สุดส่วนเพื่อนคนไหนอยากเสริมเพิ่มอะไรก็เชิญได้ที่ comment หรือเวบบอร์ดได้นะครับ เอาหล่ะเริ่มกันเลย
Power supply ให้ความหมายง่าย ๆ เลยคือหน่วยจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยหลักการทำงานของมันก็คือแปลงไฟจากไฟบ้าน กระแสสลับ(AC) ให้เป็นไฟกระแสตรง (DC) ค่าต่าง ๆ แล้วแจกจ่ายให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าวถ้ามันแปลงจาก AC เป็น DC ก็ต้องใช้หม้อแปลง (Tranfromer) ขนาดใหญ่ ๆ เหมือนกับที่ใช้กันอยู่ใน UPS สิ แต่ทำไม Power supply ของคอมพิวเตอร์ ถึงได้ไม่ได้มีน้ำหนักขนาดนั้น…คำตอบคือ Power supply ของคอมพิวเตอร์ไม่ได้ใช้หม้อแปลงในการแปลงค่าไฟจาก AC เป็น DC ครับ แต่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคในการแปลง เราเรียก Power supply แบบนี้ว่า Switching power supply

หลักการทำงานของ Switching power supply
หลักการทำงานของมันก็คือเมื่อมีไฟกระแสสลับเข้าที่ AC In ไฟนั้นก็จะถูกแปลงเป็นไฟ DC ที่มีค่า โวลต์สูงโดยอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า แพ็คเกจไดโอท (ไดโอท 4 ตัวที่นอนเรียงกันอยู่ตรงภาคไฟสูงนั่นแหละครับ) เมื่อแปลงออกมาแล้วค่าไฟ DC จะสูงมากประมาณ 300 โวลต์ และส่งไปที่ คาปาซิสเตอร์ (กระป๋องใหญ่ ๆ 2อันเหมือนจากไดโอท) จะทำหน้าที่กรองกระแสไฟให้เรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้(เพราะไฟ DC ที่ได้จากการแปลงด้วย แพ็คเกจไดโอทมันจะไม่สม่ำเสมอเหมือนกับแปลงด้วยหม้อแปลง) จากนั้นก็ถูกส่งไปที่ หม้อแปลงตรงกลาง เพื่อแปลงให้เป็น DC ต่ำตามที่ อุปกรณ์ต้องการ ก็จะมีอยู่ 3 ค่าหลัก ๆ คือ DC 12 V,DC 5 V และ DC 3.3 V  จากนั้นไฟที่ถูกแปลงแล้วจะถูกส่งย้อนกลับไปที่ IC ที่ติดอยู่กับแผ่นระบายความร้อนสีเงิน ๆ ติดกับภาคไฟสูงเพื่อควบคุมค่าแรงดันไฟให้ได้ตามต้องการ(ไม่ขาดไม่เกินมาก นัก)และเมื่อได้แรงดันไฟที่ค่อนข้างสม่ำเสมอแล้วกระแสจะถูกส่งเข้าไปที่ IC อีกด้านที่อยู่ติดกับภาพไฟต่ำ IC ตรงนี้แหละครับเราเรียกว่า Switching มันจะทำหน้าที่คอยตรวจเช็คว่ามีอุปกรณ์ตัวใดที่ต่ออยู่กับ Power supply มีการทำงานผิดปกติเช่น ลัดวงจร รึเปล่าถ้าพบอุปกรณ์ที่มีการลัดวงจร switching จะทำการติดไฟออกจากภาคไฟต่ำเพื่อป้องกันการเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (อาการนี้สังเกตุได้ง่า ยๆ คือเมื่อคุณกดเปิดเครื่องแล้วเครื่องติดพัดลมหมุน นิดเดียวแล้วก็ดับ หรือ ติดปุ๊บแล้วดับเลยอันนี้ก็ให้สันนิฐานได้แล้วว่าคงมีอุปกรณ์ตัดใดตัวหนึ่ง ลัดวงจร หรือไม่ก็อาจมีเศษโลหะตกลงไปในเครื่องของเรา(เอาไว้ผมจะเขียนบรรยายอย่าง ละเอียดในโอกาสต่อไปนะครับ) และถ้าSwitching ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็จะปล่อยกระแสออกทางภาคไฟต่ำเพื่อแจกจ่ายไป ตามสายไฟเข้าสู่อุปกรณ์ต่อไป

ค่าแรงดันไฟที่ออกตามสายไฟมีดังนี้
12V สายสีเหลือง
5V สายสีแดง
3.3 V สายสีส้ม
Ground สีดำ
-12 V สีน้ำเงิน
-5 V สีขาว
standby 5 V สีเทา
โดยอุปกรณ์แต่ละตัวก็จะไปจัดสรรค์ค่าไฟที่รับมาจาก Powersupply เอง เช่น Mainboard ก็จะจ่ายไฟ 3.3 V ให้กับ CPU และตัว control ของ CPU ก็จะไปจัดสรรไฟ 3.3 V ให้เป็นค่าที่ CPU ต้องการเช่น 1.75 V    และไฟ 12 V ก็จะถูกใช้โดย HDD ,CD-rom,vga card  ก็จัดสรรกันไปตามแต่ความต้องการของอุปกรณ์แต่ละชนิด
วัตต์แท้-วัตต์เทียม ดูกันอย่างไร?
จริง ๆ แล้วกำจะหาค่าวัตต์นั้นจำต้องใช้ค่า ”แอมป์” (แรงดันไฟฟ้า) ในแต่ละเฟสมาคำนวนให้เป็นวัตต์ แล้วนำมาบวกรวมกันอีกที ดังนั้น Power supply 2 ยี่ห้อที่ตี วัตต์เท่ากันอาจใช้กับคอมสเป็กเดียวกันไมได้

Power supply A

Power supply B
จากภาพเราจะเห็นได้ว่า Power supply A ที่ติดบอกไว้ว่า 400 W อาจไม่สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ VGA แบบกินไฟมาก ๆ อย่าง GF 9800 หรือ ต้องต่อพ่วงกับ HDD หลาย ๆ ตัวแล้วอาจจะเกิดปัญหาได้ได้เพราะว่า Amp น้อยกว่า Power supply B
ดูยังไง Watt แท้ Watt เทียม
ถ้านอกเหนื่อจากการดูจำนวน AMP ที่ Power supply lมารถจ่ายได้แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ”ราคา” Power supply 550 watt ราคา 500 บาท อันนี้ดูได้เลยครับว่าวัตต์ไม่แท้ “แต่ถ้าคุณเจอพ่อค้าหัวใส อับราคาของจาก 500 าเป็น 800 หล่ะ นั่นหน่ะสิ ก็ให้ดูที่วัสดุและน้ำหนักครับ Power supply วัตต์แท้จะค่อนข้างมีน้ำหนักมากกว่า วัตต์เทียมอย่างเห็นได้ชัด “อ้าวแล้วถ้าทั้งร้านเค้ามียี่ห้อเดียวหล่ะ”   นั่นสิครับทำไงดี เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่ได้เป็นพวกเล่นเกมส์หรือใช้งาน VGA ระดับเทพ ผมว่า Power ธรรมดา 450 W ราคา 500-600 บาทก็เพียงพอกับความต้องการของคุณครับ แต่ถ้าเป็นพวกตรงข้าม ก็แนะนำให้คุณมองหา Power supply ที่มีแอมป์สูง ๆ มีวัตต์มาก ๆ และมีราคาสูงหน่อยครับ อย่างที่ผมเห็น ๆ นะ ก็ Enermax ครับอันนี้ watt แท้แน่นอน


หลักการทำงานของพาวเวอร์ ซัพพลาย และ แก้ไขอาการเสียเบื้องต้น


พาวเวอร์ซัพพลาย ทั้งแบบ AT และ ATX นั้นมีลักษณะการทำงานที่เหมือนกัน คือรับแรงดันไฟจาก 220-240 โวลต์ โดยผ่านการควบคุมด้วยสวิตช์ สำหรับ AT และเมนบอร์ด แล้วส่งแรงดันไฟส่วนหนึ่งกลับไปที่ช่อง AC output เพื่อเลี้ยงตัวมอนิเตอร์ และจะส่งแรงดันไฟ 220 โวลต์ อีกส่วนหนึ่งเข้าสู่หน่วยการทำงานที่ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟสลับ 220 โวลต์ ให้เป็นไฟกระแสตรง 300 โวลต์ โดยไม่ผ่านหม้อแปลงไฟ ระบบนี้เรียกว่า (Switching power supply ) และผ่านหม้อแปลงที่ทำหน้าที่แปลงไฟตรงสูงให้เป็นไฟตรงต่ำ โดยจะฝ่านชุดอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กำหนดแรงดันไฟฟ้าอีกชุดหนึ่งแบ่งให้เป็น 5 และ 12 ก่อนที่จะส่งไปยังสายไฟและตัวจ่ายต่างๆ โดยความสามารถพิเศษของ Switching power supply ก็คือ มีชุด Switching ที่จะทำการตัดไฟเลี้ยงออกทันทีเมื่อมีอุปกรณ์ที่โหลดไฟตัวใดตัวหนึ่งชำรุด เสียหาย หรือช็อตนั่นเอง

เอาละครับ เรารู้หลักการทำงานคร่าวๆ ของ Power supply แล้ว เรามาดูถึงอาการเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าจะวิเคราะห์อาการเสียอย่างง่ายๆ ก็มี เช่น

# เปิดแล้ว พัดลมไม่หมุนแต่เครื่องติด

หากอาการแบบนี้ให้คุณทราบไว้ เลยว่า พัดลมระบายความร้อนในพาวเวอร์ซัพพลายของคุณนั้นมันเกิดอาการเสียซะแล้ว อาจเป็นเพราะเกิดการฝืดเนื่องจากมีฝุ่น หรือหยากไย่เข้าไปค้างอยู่ หากปล่อยไว้นานๆ ก็อาจทำให้ พาวเวอร์ซัพพลายของคุณพังได้ วิธีแก้ก็คือให้คุณ ตัดเอาพัดลมพร้อมสายไฟออกแล้วเดินไปที่ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (แถวบ้านหม้อก็ได้) แล้วยื่นพัดลมให้คนขายดูเขาก็จะหยิบตัวใหม่ที่เหมือนกันเปี๊ยบมาให้คุณ คุณก็เอากลับไปต่อกับตัวพาวเวอร์ได้เหมือนเดิม แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่า ราคาพัดลมกับพาวเวอร์ซัพพลายตัวใหม่นั้นมีราคาใกล้เคียงกันมากทีเดียว แต่ลองหัดซ่อมดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ

# เปิดแล้วเครื่องไม่ติดพัดลมไม่หมุน

หากเกิดอาการอย่างนี้อย่าเพิ่ง สรุปนะครับว่า พาวเวอร์ซัพพลายของคุณเสีย เพราะอย่างที่บอกไว้ในหัวข้อข้างต้นก็คือ Power supply แบบ Switching นั้น สามารถที่จะตัดกระแสไฟได้ถ้าหากมีอุปกรณ์ที่โหลดไฟจากตัวมันไปชำรุด ดังนั้นวิธีเช็กก็คือให้คุณถอดอุปกรณ์ที่โหลดไฟจากพาวเวอร์ซัพพลายทั้งหมด ออกมาก่อนแล้วเปิดดู หากพัดลมติด และใช้มัลติมิเตอร์วัดดู ถ้าเข็มแสดงว่ามีไฟเลี้ยงเข้าแสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งของคุณนั้นเกิด อาการชำรุดหรือช็อต วิธีทดสอบก็คือให้เสียบไฟโหลดนั้นทีละตัว แล้วเปิดดูหากอุปกรณ์ชิ้นไหนชำรุดพาวเวอร์ซัพพลายก็จะไม่หมุน (ตัวอย่างที่พบกันบ่อยๆ ก็คือคุณประกอบเมนบอร์ดเข้ากับตัวเคส โดยที่ไม่ได้ใช้แผ่นโฟมหรือขาพลาสติกรอง ทำให้ลายวงจรของเมนบอร์ด เกิดการสัมผัสกับตัวเคสที่เป็นตัวนำไฟฟ้าทำให้เกิดการลัดวงจรขึ้น ดังนั้นถ้าเกิดกรณีอย่างนี้ให้คุณรีบปิดตัวพาวเวอร์ซัพพลายโดยเร็ว และใช้แผ่นโฟมหรือแหวนรองน็อต ใส่ก่อนทุกครั้งที่ประกอบเครื่องลงเคส ไม่งั้นคุณอาจต้องน้ำตาร่วงเพราะเสียเงินซื้อเมนบอร์ดใหม่)
วิธีวัดพาวเวอร์ ซัพพลาย ถ้ามีเข็มขึ้น
แสดงว่าพาวเวอร์ซัพพลายของคุณปกติ

สาเหตุหนึ่งน่าจะเกิดจาก การที่ฟิวส์ที่อยู่ภาพในตัวพาวเวอร์ซัพพลายเองขาด วิธีดูว่าฟิวส์ขาดหรือไม่ก็ให้ดูด้วยตาเปล่า หรือถ้ามีเขม่าจบในฟิวส์มากๆ ก็ให้ถอดฟิวส์ออกมาวัดโดยวัดจากค่าความต้านทานในฟิวส์ ตรงนี้คุณต้องถอดออกมาจากวงจรนะครับ ถึงจะวัดได้ ถ้าไม่มีความต้านทานขั้นก็แสดงว่าฟิวส์ขาด แต่ถ้าฟิวส์ไม่ขาด แล้วยังไม่มีไฟเข้าที่พาวเวอร์ซัพพลายอีก สาเหตุน่าจะมาจาก สายไฟที่คุณใช้ต่อไฟกระแสสลับเข้าสู่ไฟบ้านมีอาการชำรุด ขาดใน หรือแผงวงจรร หรือ อุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งของพาวเวอร์ซัพพลายเกิดความเสียหาย

สำหรับในกรณีแรกให้คุณลอง หาสายไฟมาเปลี่ยนดู แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่สอง ก็เปลี่ยนพาวเวอร์ซัพพลายใหม่เถอะครับ ไม่ต้องเสียเวลาซ่อมเพราะมันไม่คุ้ม อ้อ ก่อนการลงมือซ่อมพาวเวอร์ซัพพลายทุกครั้งอย่าลืมว่าต้องใส่รองเท้าหนาๆ ด้วยนะครับ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวคุณเอง

Power Supply ที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน จะเป็นสาเหตุให้อุปกรณ์อื่นๆในคอมพิวเตอร์เสียหายได้ โดยเฉพาะ Harddisk ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบสภาพของ Power Supply อยู่เสมอ ถ้าพบว่าเสียหายควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนตัวใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป

Power Supply มี 2 แบบ
แบบที่ 1. แบบ Linear มีหม้อแปลงใหญ่ขนาดใหญ่ ตัดวงจรโดย Fuse
แบบที่ 2. แบบ Switching มี Transistor ทำหน้าที่ตัดวงจร
       2.1 แบบ XT มีขนาดใหญ่ มีหัวเดียว 12 เส้น มี Switch ปิด-เปิดอยู่ด้านหลัง Power Supply
       2.2 แบบ AT เล็กกว่า XT มีหัวเสียบ 2 หัว คือ P8 , P9 มีสวิทช์ปิด-เปิดโยงจาก Power Supply มายังหน้า Case (ราคาประมาณ 450 บาท)
       2.3 แบบ ATX แบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีหัวเสียบเดียว 20 เส้น ไม่มี Switch ปิด-เปิด เมื่อสั่ง Shut Down จาก Program เครื่องจะปิดเองโดยอัติโนมัติ (ราคาประมาณ 600-800 บาท)

* ถ้าต้องการตรวจสอบการใช้งานในขณะที่ไม่ได้ต่อกับ Mainboard ให้ Jump สายสีเทา (หรือสีเขียว) กับสีดำ พัดลมของ Power Supply จะหมุน แสดงว่าใช้งานได้


การใช้มิเตอร์วัดไฟ Power Supply
ดำ + ดำ = 0 V
ดำ + แดง = 5 V
ดำ + ขาว = -5 V
ดำ + น้ำเงิน = -12 V
ดำ + ส้ม = 5 V
ดำ + เหลือง = 3.3 V
ดำ + น้ำตาล = 12 V

* เข็มมิเตอร์ตีกลับ ให้กลับสาย ใช้ค่า ติด -

*AC=220 V (L กับ N)
L1 380 Vac
L2 380 Vac
L3 380 Vac
N Nutron , G ไม่มีไฟ
*230W (23A) - 300W (30A)
โดย W=V*I  
ส่วนของ Power Supply ที่สามารถตรวจซ่อมได้
1. Fuse
2. Bridge
3. Switching
4. IC Regulator
5. C ตัวใหญ่
6. IC
ที่มา : http://www.noom2662.com/webboard/index.php?topic=939.0