วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Happy New Year 2012

Happy New Year


Wishing you a new year filled with new hope ,new joy and new beginning

I wish You a Happy New Year 2012 with Good Luck so that all Your dreams
 come true and Your heart full of Love and Happiness !

fill your life with happiness and bright cheer, bring to you joy and prosperity for the whole year
and it's my new year wish for you ..wish you a very happy new year

็How to live your life oversea

Farewell 2011 with how to live your life oversea
ขอบคุณ อีเมลล์ ฉบับนี้ เป็นบทความส่งท้ายปีี้นี้ จาก คุณจัสมิน นิวซีแลนด์ค่ะ 
อ่านเพลินดีมาก ๆ ขอยกเก็บมาฝากเพื่อนๆในบล๊อกนี้ 

ส่งท้ายปี 2011 ด้วยบทความจะใช้ชีวิตเมืองนอกอย่างไร
สวัสดีค่ะคุณๆที่รัก
 
Topic นี้อาจจะเข้าถึงเฉพาะผู้ที่กำลังจะไปเมืองนอกนะคะ 
แต่รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามค่ะ เผื่อถึงตาคุณขึ้นมาบ้าง 
จะได้มีแบ็คกราวนด์ ไม่งมโข่ง ตอนดิฉันไปอยู่เมืองนอกใหม่ๆ 
อย่าให้บรรยายค่ะคุณ ไม่มีคนบอก คนแนะนำ 
เฟอะฟะ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ประหนึ่งคนยุคหินเข้าเมืองนิวยอร์ค 
จะว่าขำก็ขำแต่ก็ชอกช้ำอยู่ลึกๆ เพราะอ่อนด้อยประการณ์...
 
ขออนุนญาต Congratulations! สำหรับคุณๆที่แต่งงานกับหนุ่มฝรั่ง 
หรือได้รับเชิญไปเมืองนอกในขณะนี้ บางส่วนก็ยังดูใจกันอยู่ 
ขอเอาใจช่วยทุกท่านค่ะ...
 
สำหรับคุณๆที่ยังโชคไม่ดี ยังไม่พบเนื้อคู่ วิ่งเต้นตับไต
ไส้จะหลุดจากขั้วก็ยังไม่เห็นวี่แววอัศวินขี่ม้าขาวมาหาคุณ 
ไม่รู้ไปรบที่ไหนกันหมด เหนื่อยๆท้อๆก็พักกาย 
พักใจไปก่อนสักระยะนะคะ หันมารักตัวเอง 
ดูแลเอาใจใส่ตัวเองก่อน ทำตัวเองให้สดใส ปิ๊งปั๊ง 
มีความสุขเสียก่อน ถึงยังจะไม่สมหวังเสียทีเดียว 
โลกกลมๆใบนี้ของเราก็ยังรื่นรมย์น่าอยู่ค่ะ...
 
เนื้อหาบทความฉบับนี้ไม่จำกัดเฉพาะสาวๆที่กำลังอยู่ในดงดอกรัก 
ผลิดอกออกช่อกับหนุ่มตาน้ำข้าวเท่านั้น ใช้ได้กับคุณๆ
ที่กำลังจะไปหางานทำเมืองนอกด้วยค่ะ 
ว่าแล้วก็ Let’s go กันเลยดีกว่า...
 
1. สำคัญมากค่ะ ต้องปฏิบัติตามกฎของบ้านเมืองเขา 
เบาะๆ เช่นการจราจร เมืองลอนดอนเขาขับรถเลนส์ซ้าย
เหมือนบ้านเรา แต่ที่อเมริกา ประเทศโซนยุโรป 
เขาแล่นกันทางขวานะคะ ข้ามถนนต้องใช้สะพานลอย 
ทางม้าลาย หรือที่สี่แยกสัญญาณไฟซึ่งจะมีปุ่มกดให้คนเดินข้าม 
ต่างไปจากบ้านเรา ดิฉันกลับบ้านครั้งสุด เคยชินกับทางม้าลายที่เมืองนอก 
คือรถจะหยุดให้คนข้าม ทีนี้ก็คิดว่าที่เมืองไทยจะเป็นอย่างนั้น 
ที่จริงก็เคยจำได้ว่าเป็นอย่างนั้น แต่คนมันลืมไงคะ 
เห็นทางม้าลายเดินเอ้อระเหยข้าม ไปได้ครึ่งทางเห็นรถบรรทุกยิปซั่ม 
ทั้งเปิดไฟสูง ทั้งบีบแตรใส่มาแต่ไกล เอื้อยนางอย่าเข้ามานะ
ข้อยชนเจ้าเละคักๆจริงๆด้วย ต้องวิ่งกลับมาตั้งหลักใหม่ 
เข้าคิวซื้อของอย่าคิดว่าสวย/หล่อแล้วจะทำเนียนๆลัดคิวได้ 
จะโดนสายตาประชาทัณฑ์ ขายขี้หน้าฝรั่งค่ะ 
ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง ฯลฯ เรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ 
ประเทศอารยธรรมถือสาเอาเรื่อง ฉะนั้นพยายามปรับตัว 
Try to fit yourself well to the environment นะคะ ...
 
2. คอยสังเกตดูว่าเขากินอยู่กันอย่างไร 
มารยาทการกินของเขาก็พอๆกับของเราค่ะ แต่แทนที่จะเป็น 
ช้อน ส้อม เขาจับคู่ส้อมกับมีดแทน นอกจากนั้นก็มี 
ช้อนตักซุป ช้อนเล็กสำหรับชา กาแฟ โดยมารยาท
เขาไม่นิยมเลียมีด หรือแช่ช้อนคนเครื่องดื่มไว้ในแก้ว 
แม้ว่าเราๆหญิงชาวสยามจะเคยชินกับนั่งเสื่อ 
นั่งชันเข่ากินข้าวในหอพัก อยู่ตัวคนเดียวนี่คะ 
ไม่มีใครมาแชร์ความฝัน คิดจะปลูกคฤหาสน์สามฤดู 
มีลูกครึ่งตาสีฟ้า แก้มป่อง ผมเกลียวๆด้วยกันสักหนึ่งโหล 
เราปล่อยตัวตามสบายได้ แต่เมื่อโกอินเตอร์แล้ว 
ต้องอัพตรงนี้นิดหนึ่งค่ะ เผื่อว่ายาหยีของคุณทำงานมีหน้ามีตา 
เป็นหมอ ครูบาอาจารย์ นักธุรกิจ ผู้จัดการใหญ่ เจ้าของกิจการฯลฯ 
พาคุณออกงานราตรีจะได้ไม่ขายหน้า...
 
3. ไม่รีบร้อนหาเพื่อนรักเพื่อนตาย คนไกลบ้านเวลาเหงา 
มันเหงาลึกบาดเข้าไปในอวัยวะทุกส่วนของร่างกายจริงๆค่ะ 
เห็นใครหัวดำๆเดินอยู่ไกลๆ ก็จะตะครุบเข้าใส่ 
อยากพูด อยากคุยภาษาไทยด้วย ต้องระงับความรู้สึกนิดหนึ่งนะคะ 
ดูลาดเลาก่อน ผู้หญิงไทยเมืองนอกแบ่ง
เป็นกระดูกหลายเบอร์อยู่เหมือนกัน 
นี่ไม่ได้ดูถูกคนไทยด้วยกันนะคะ คืออยากจะให้คุณสังเกต
วิเคราะห์นานๆก่อนการตัดสินใจ 
เจอคนไทยใหม่ๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป 
ค่อยๆคบหา อย่าออกตัวแรง หวือหวาเกินควร 
เผื่อว่าดูๆไปแล้วนิสัยเขาอาจจะไม่เข้ากับเรา 
การจะตีตัวออกห่างจะได้ ไม่ยาก 
หากว่าเข้าไปคลุกวงใน เห็นไส้ซึ่งกันและกันทุกขด 
บทเราจะถอย จะทำได้ลำบาก พูดอย่างนี้ 
คุณๆที่อยู่เมืองไทยจะนึกภาพไม่ค่อยออกเพราะเพื่อนคุณแยะ 
แต่ใครที่อยู่เมืองนอกจะทราบ ใหม่ๆจะเป็นหัวเดียว
กระเทียมลีบทุกคน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ย่อมต้องการเพื่อน แต่ให้เวลาตัวเองสักนิด 
ของดีนั้นหายาก ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าเจอคนไทย
ในเมืองคนแรกก็นับเขาเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตาย 
มาค้นพบทีหลังว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วไม่อยากคบ 
มันก็จะไม่แฟร์กับเขาด้วย ออกตัวแผ่วๆ ไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่จะตายกันพรุ่งนี้มะรืนนี้ หลักการปฏิบัติที่ดีที่สุดคือ 
มีเมตตา หัวใจอภัยเสมอ พูดน้อยๆ ยิ้มเยอะๆ 
เมื่อสกรีนได้เพื่อนที่คุณคิดว่าโอเคแล้วจริงๆ 
คุณถึงค่อยเป็นตัวของตัวเอง ถึงกระนั้น 
ก็พึงระลึกไว้เสมอว่า เผื่อใจไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลง 
เราไม่ได้ดีโอเว่อร์ หรือร้ายสุดๆกับเขา 
เจ๊ากันไป ไม่มีอะไรต้องมานั่งเสียใจทีหลัง...
 
4. รับมือกับความเหงา เกี่ยวโยงกับข้อที่ผ่านมา 
ถ้าหาเพื่อนที่ดีไม่ได้ เหลือแต่คนช่างนินทา 
อิจฉาริษยาแข่งเธอแข่งฉัน หรือคบด้วยแล้วปวดหัว 
อึดอัด ค่อยๆปลีกตัว แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น 
อยู่กับตัวเอง ดูแลให้ความรักความเอาใจใส่แฟนแบบเต็มๆ
ไปเลยก็ดี เวลาเขาไปทำงาน เราอยู่บ้าน 
มีอะไรให้ทำเยอะแยะ สิ่งทดแทนความเหงา
มากมายก่ายกองค่ะ เรียนภาษา เปิดดิคชันนารีฆ่าเวลา 
เดินดูดอกไม้สายลมแสงแดดในหมู่บ้าน 
เขียนอีเมล์หาครอบครัว เชื่อเถอะค่ะวันหนึ่งๆ
เวลาปลิวหายไปเร็วยังพายุ...
 
5. อย่าทำให้คนรัก หรือคนที่เราอยู่ด้วยลำบากใจ 
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น 
เป็นสุภาษิตที่ใช้ได้ตลอดกาล ถึงเขารักเราแล้วก็จริง
แต่เราก็ต้องถนอมคุณภาพของตัวเองให้ดีๆ 
ช่วงนี้ล่ะคะจะเป็นช่วงทำคะแนนเปรี้ยงปร้างของคุณ
นอกจากดูแลบ้านให้เขา แล้วทำกับข้าวเบสิคๆที่เขากินได้ด้วย 
ผัดขิง ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว สารพัดผัด 
หรือแม้แต่ไข่เจียวกุ้งสับหมูสับรสเข้มข้นก็เป็นบุญของเขาแล้ว
ฝรั่งเขามีกรรมเกิดมาไม่ต่างกับจระเข้
กินอะไรก็อร่อยไปหมด จนไม่รู้ว่าของอร่อยจริงๆเป็นอย่างไร 
จัดให้เขาซะ ไหนๆก็นางเอกมาถึงเกือบปลายทางแล้ว
ก็นางเอกต่อไปอีกนิด อย่าไปยุ่มย่ามกับของส่วนตัวเขานะคะ 
แม้แต่รูปหรือจดหมายของผู้หญิงคนเก่า 
เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ผู้หญิงไทยแยกแยะไม่เป็น
ซึ่งจะเสียเปรียบผู้หญิงฝรั่งตรงนี้ สมบัติจากแฟนเก่า
เขาอาจจะอยากเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ 
แต่เราจะด่วนตีโพยตีพายว่าเขาไม่ซื่อตรง 
ไม่ซื่อสัตย์กับเรา คนละเรื่องนะคะ ถ้าทำใจไม่ได้
ก็อย่าไปสอดรู้สอดเห็นของเขาก็สิ้นเรื่อง...
 
6. อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน มีจดหมายจากมิตรรักเมืองไกล
ส่งมาถึงดิฉัน ฝากเตือนเพื่อนๆสาวไทย
ที่จะไปอยู่เมืองนอกด้วยความหวังดี 
คืออย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง 
ความหมายบอกชัดอยู่ในตัว ก็คงจะเป็นการแตกประเด็น
มาจากการคบเพื่อนใหม่ในต่างแดนนั้นแหละค่ะ 
ดิฉันเชื่อว่าที่แฟนพาคุณมาเยี่ยมเมืองเขา 
เขาย่อมเห็นความดีงามในตัวคุณ สรุปก็คือคุณเป็นคนดี 
แต่ก็มีหลายคนที่ดีมากหนักไปทางซื่อ ปฏิเสธคนไม่เป็น 
จนมีปัญหายุ่งยากตามมา เบียดเบียนคุณเรื่องเงินทอง 
เอาเปรียบคุณไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง ระยะแรกที่ไปอยู่ 
แฟนไม่อยู่บ้าน คุณต้องเซฟตัวเองให้ดี 
เป็นคนใจดี น่ารัก เปิดเผยนั่นดีอยู่แล้วค่ะ 
แต่ต้องมีลิมิทไม่เปิดหมดแปดทิศ 
จนใครจะมาลูบหัวลูบหางเอาคุณไปเป็นเครื่องมือใครก็ได้...
 
7. ไม่คาดคั้นแฟนเรื่องเงินทองของหมั้น 
ถ้าคุณสมารถอธิบายให้เขาฟังได้ก็ไม่มีปัญหา 
Subject นี้ค่อนข้างเซ้นสิทิฟสำหรับเพื่อนชายฝรั่งของคุณมาก 
บ้านเขาไม่มีระบบแบบนี้ ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง
จะกลายเป็นว่าพ่อแม่เราขายเราให้เขา ซึ่งเขาจะไม่ชอบเอามากๆ 
มีนะคะ บางคนจะแต่งกับฝรั่งที ตกสินสอดมากกว่าดารา 
จะโชว์คนทั้งหมู่บ้าน คิดใหม่ ทำใหม่นะคะ 
สงสารแฟน แถมไปสร้างภาพผิดๆให้ครอบครัวตัวเอง
เราเป็นคนกลาง พ่อแม่พี่น้องคิดว่าแฟนรวย คุณอยู่กับเขา
ทางบ้านขอเงินมาบ่อย แฟนไม่มีให้จะกดดันได้ 
ตอนที่ดิฉันจะแต่งกับสามีกลัวมาก ไม่กล้าเอ่ยปากเรื่องเงินเลยค่ะ 
จริงๆค่าตัวประมาณ สามสิบล้าน เขาไม่ให้สักบาท 
(เพราะดิฉันไม่ขอ เขาไม่ทราบ เลยไม่ให้) 
จัดการเฉพาะค่างานเลี้ยงโต๊ะจีน สามหมื่นบาท 
แม่บอกว่าลูกเขยท่านจนยิ่งกว่า ลูกจ้างสวนยางพาราแถวบ้านอีก 
สมมตินะคะถ้าค่าสินสอด 300,000 แสนบาท ทอง 10 บาท 
ราคาทองตอนนี้ไม่ทราบว่าเท่าไร ตีหยาบๆ 
บาทละ 20,000 แล้วกันนะคะคิดง่ายดี 
รวม 500,000 ให้เขาจัดการทีเดียวเลย 
สำหรับบางคนให้ได้ แต่เขาไม่ให้ ถือว่าเป็นตัวเลขเยอะ 
ให้เราขนาดนั้น เขาไปจ่ายผู้หญิงหากินข้างนอก 
คราวละ $ 130 ไม่ดีกว่าหรือ นี่คิดเป็นเงินสหรัฐ 
ก็หมื่นกว่าเหรียญ เจ้าบ่าวสะดุ้งเชียวนะคะ 
หลังจากแต่งงานแล้ว คุณสามีดิฉันก็ใจดี 
ถามว่าอยากได้อะไร ดิฉันบอกว่าอยากให้ส่งพ่อแม่
เดือนละ หมื่นบาท สองตายายอยู่กันแถวบ้านนอก
แค่นี้ก็หรูแล้ว เขาส่งเสียพ่อตาแม่ยายมาทุกเดือน
เจ็ดปีแล้วค่ะ คิดเป็นเงินคร่าวๆก็ 840,000 เกือบล้าน
นี่ไม่ได้ยกตัวเลขมาอวดร่ำอวดรวยนะคะ 
แค่อยากให้คุณเห็นถึงความแตกต่าง 
ได้น้อยๆแต่ได้เรื่อยๆ ไม่หนักเขา 
เรื่องส่งเสียพ่อแม่นี่สนับสนุนนะคะ 
ดูแลผู้มีพระไม่ให้อดอยาก คุณจะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าค่ะ 
แต่ก็ต้องค่อยๆเจรจากับสามี อย่าเพิ่งให้เขามารับรู้ 
รับผิดชอบภาระของเราปุบปับ ต้องรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน....
 
8. คงเส้นคงวา ข้อนี้ก็สำคัญสุดๆ before กับ after 
ต้อง นางฟ้า & นางฟ้า เท่านั้น นะคะ 
ไม่ใช่ Before นางฟ้า & after นางมาร มิได้ทีเดียวเชียว...
 
9. เมื่อเขาพาคุณมาเที่ยว เป็นนิหมายอันดีแล้วล่ะค่ะ
ว่าเขาจะยกย่องคุณเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของเขา 
หากคุณเคยคร่ำหวอดอยู่ในวงการแชท
จากระดับมดงานจนได้เลื่อนขั้นเป็นนางพญา 
ให้เลิกแชทกับผู้บ่านอื่นโดยเด็ดขาด เขาจะได้สบายใจ 
โชว์สปิริต โชว์ความบริสุทธิ์ใจกันเห็นๆไปเลย 
อย่าได้เที่ยวซุกกิ๊ก แชทเรี่ยราดนะคะ ยิ่งใช้เครื่องคอมฯเขาด้วย 
เกิดเขาเช็คได้ คุณจะเสียโอกาสงามๆนี้ไป...
 
10. คำถามนี้ยอดฮิตมากค่ะ หลังจากมีแฟนฝรั่งเป็นตัวเป็นตน
แล้วควรบอกเขาดีไหมว่าคุณเคยหาแฟนทางเน็ต
ถ้าเป็นดิฉันนะคะ (ความเห็นส่วนตัวค่ะ คุณอาจจะคิดต่างจากนี้) 
คำแบบนี้ก็พอๆกับถามว่าเคยนอนกับใครมาบ้าง 
สรุปคือเป็นคำถามที่เกี่ยวพันกับเรื่องในอดีต
มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว
ส่วนฝรั่งทีเขาหลับนอนมากับใครเยอะแยะ 
เขายังถือเป็นเรื่องส่วนตัว แค่คุณแชทกับนาย เอ นายบีมาก่อน 
จิ๊บๆค่ะ ไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องขุดคุ้ยยกเรื่องนี้มาพูดกับเขา
ถ้าเขาถามก็ตอบเรียบๆสั้นๆเพียงว่า มีบ้างแต่ก็ไม่จริงจัง 
เลิกทุกอย่างนานแล้ว ยิ่งมาพบเขา (แฟนคุณ) เลิกสนิท
เรือถึงฝั่งแล้วจะพายต่อให้เมื่อยแขนทำไม
แบบนี้เขาปลื้มหัวโตไปเลยล่ะค่ะ เขาไม่ถือสาอยู่แล้ว 
แต่จะว่าไปฝรั่งบางคนก็ค่อนข้างรับไม่ได้เหมือนกัน 
คุณดูเอาเองนะคะ แฟนใครแฟนมัน นิสัยจะไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณเห็นว่าพูดแล้วไม่่เกิดมรรคผลก็เงียบๆ
ไปเสียดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เปลืองเอ็นเนอร์ยี่...
 
จะขึ้นปีใหม่อีกวันสองวันนี้แล้ว ดิฉันใคร่ขอเอ่ยอ้าง
คุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้คุณและครอบครัว 
มีแต่คสวามสุขความเจริญ รวยวัน รวยคืน 
ไม่เจ็บไม่ป่วย มีแต่โชคลาภเข้ามาในชีวิต 
ใครที่มีคู่อยู่แล้วก็ขออวยพรให้พวกคุณอยู่กันอย่างราบรื่น 
รักกันยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะตายจากกัน 
ใครที่ยังโสดก็ขอให้โสดอย่างมีความสุข 
ทั้งชีวิตคู่ และชีวิตโสด ดีทั้งนั้นค่ะ มันขึ้นอยู่กับตัวเรา 
อยู่ที่การมอง การปฏิบัติตัวของเราทั้งสิ้น...
 
ขอบคุณค่ะ. 

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

OverclockZone TV EP.15 "เจาะลึก Power Supply

http://www.overclockzone.com/index.php


http://www.youtube.com/watch?v=VJ8K1G2rEcg



ทำความรู้จัก Power supply

ต่อไปนี้ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นใด ในการทำการค้าหรือธุรกิจ กับ การที่ไปคัดลอก บทความของท่านอื่นมา ไว้ในบล๊อกของตัวเอง เห็นว่าบทความเป็นประโยชน์ต่องานของข้าพเจ้าเอง  อยากจะเก็บไว้อ่าน ศึกษา เพื่อพัฒนารอยหยักในสมอง อันน้อยนิด ให้มีเพิ่มขึ้นมาบ้าง ...ขอบพระคุณที่มาของบทความ ที่ข้าพเจ้าได้คัดลอก
รู้จัก Power supply

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไมได้เรียนจบมาทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ โดยตรง ความรู้ที่ได้มาจนถึงขั้นเป็นอาจารย์สอนซ่อมคอมพิวเตอร์ได้เกิดจากความสนใจ และใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาโดยไปหาเรียนเอาตามสถานที่สอนซ่อมคอมต่าง ๆ โดยมีอาจารย์-เพื่อนและตำราต่าง ๆ เป็นแหล่งข้อมูล  ดังนั้นผมจะไม่ขอใช้คำพูดเป็นภาพษาช่างหรือศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยากให้ เพื่อน ๆ งง เพราะผมก็งง ผมจะขอใช้คำเป็นลักษณะของผมเองให้เพื่อน ๆ เข้าใจง่ายที่สุดส่วนเพื่อนคนไหนอยากเสริมเพิ่มอะไรก็เชิญได้ที่ comment หรือเวบบอร์ดได้นะครับ เอาหล่ะเริ่มกันเลย
Power supply ให้ความหมายง่าย ๆ เลยคือหน่วยจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยหลักการทำงานของมันก็คือแปลงไฟจากไฟบ้าน กระแสสลับ(AC) ให้เป็นไฟกระแสตรง (DC) ค่าต่าง ๆ แล้วแจกจ่ายให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าวถ้ามันแปลงจาก AC เป็น DC ก็ต้องใช้หม้อแปลง (Tranfromer) ขนาดใหญ่ ๆ เหมือนกับที่ใช้กันอยู่ใน UPS สิ แต่ทำไม Power supply ของคอมพิวเตอร์ ถึงได้ไม่ได้มีน้ำหนักขนาดนั้น…คำตอบคือ Power supply ของคอมพิวเตอร์ไม่ได้ใช้หม้อแปลงในการแปลงค่าไฟจาก AC เป็น DC ครับ แต่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคในการแปลง เราเรียก Power supply แบบนี้ว่า Switching power supply

หลักการทำงานของ Switching power supply
หลักการทำงานของมันก็คือเมื่อมีไฟกระแสสลับเข้าที่ AC In ไฟนั้นก็จะถูกแปลงเป็นไฟ DC ที่มีค่า โวลต์สูงโดยอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า แพ็คเกจไดโอท (ไดโอท 4 ตัวที่นอนเรียงกันอยู่ตรงภาคไฟสูงนั่นแหละครับ) เมื่อแปลงออกมาแล้วค่าไฟ DC จะสูงมากประมาณ 300 โวลต์ และส่งไปที่ คาปาซิสเตอร์ (กระป๋องใหญ่ ๆ 2อันเหมือนจากไดโอท) จะทำหน้าที่กรองกระแสไฟให้เรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้(เพราะไฟ DC ที่ได้จากการแปลงด้วย แพ็คเกจไดโอทมันจะไม่สม่ำเสมอเหมือนกับแปลงด้วยหม้อแปลง) จากนั้นก็ถูกส่งไปที่ หม้อแปลงตรงกลาง เพื่อแปลงให้เป็น DC ต่ำตามที่ อุปกรณ์ต้องการ ก็จะมีอยู่ 3 ค่าหลัก ๆ คือ DC 12 V,DC 5 V และ DC 3.3 V  จากนั้นไฟที่ถูกแปลงแล้วจะถูกส่งย้อนกลับไปที่ IC ที่ติดอยู่กับแผ่นระบายความร้อนสีเงิน ๆ ติดกับภาคไฟสูงเพื่อควบคุมค่าแรงดันไฟให้ได้ตามต้องการ(ไม่ขาดไม่เกินมาก นัก)และเมื่อได้แรงดันไฟที่ค่อนข้างสม่ำเสมอแล้วกระแสจะถูกส่งเข้าไปที่ IC อีกด้านที่อยู่ติดกับภาพไฟต่ำ IC ตรงนี้แหละครับเราเรียกว่า Switching มันจะทำหน้าที่คอยตรวจเช็คว่ามีอุปกรณ์ตัวใดที่ต่ออยู่กับ Power supply มีการทำงานผิดปกติเช่น ลัดวงจร รึเปล่าถ้าพบอุปกรณ์ที่มีการลัดวงจร switching จะทำการติดไฟออกจากภาคไฟต่ำเพื่อป้องกันการเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (อาการนี้สังเกตุได้ง่า ยๆ คือเมื่อคุณกดเปิดเครื่องแล้วเครื่องติดพัดลมหมุน นิดเดียวแล้วก็ดับ หรือ ติดปุ๊บแล้วดับเลยอันนี้ก็ให้สันนิฐานได้แล้วว่าคงมีอุปกรณ์ตัดใดตัวหนึ่ง ลัดวงจร หรือไม่ก็อาจมีเศษโลหะตกลงไปในเครื่องของเรา(เอาไว้ผมจะเขียนบรรยายอย่าง ละเอียดในโอกาสต่อไปนะครับ) และถ้าSwitching ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็จะปล่อยกระแสออกทางภาคไฟต่ำเพื่อแจกจ่ายไป ตามสายไฟเข้าสู่อุปกรณ์ต่อไป

ค่าแรงดันไฟที่ออกตามสายไฟมีดังนี้
12V สายสีเหลือง
5V สายสีแดง
3.3 V สายสีส้ม
Ground สีดำ
-12 V สีน้ำเงิน
-5 V สีขาว
standby 5 V สีเทา
โดยอุปกรณ์แต่ละตัวก็จะไปจัดสรรค์ค่าไฟที่รับมาจาก Powersupply เอง เช่น Mainboard ก็จะจ่ายไฟ 3.3 V ให้กับ CPU และตัว control ของ CPU ก็จะไปจัดสรรไฟ 3.3 V ให้เป็นค่าที่ CPU ต้องการเช่น 1.75 V    และไฟ 12 V ก็จะถูกใช้โดย HDD ,CD-rom,vga card  ก็จัดสรรกันไปตามแต่ความต้องการของอุปกรณ์แต่ละชนิด
วัตต์แท้-วัตต์เทียม ดูกันอย่างไร?
จริง ๆ แล้วกำจะหาค่าวัตต์นั้นจำต้องใช้ค่า ”แอมป์” (แรงดันไฟฟ้า) ในแต่ละเฟสมาคำนวนให้เป็นวัตต์ แล้วนำมาบวกรวมกันอีกที ดังนั้น Power supply 2 ยี่ห้อที่ตี วัตต์เท่ากันอาจใช้กับคอมสเป็กเดียวกันไมได้

Power supply A

Power supply B
จากภาพเราจะเห็นได้ว่า Power supply A ที่ติดบอกไว้ว่า 400 W อาจไม่สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ VGA แบบกินไฟมาก ๆ อย่าง GF 9800 หรือ ต้องต่อพ่วงกับ HDD หลาย ๆ ตัวแล้วอาจจะเกิดปัญหาได้ได้เพราะว่า Amp น้อยกว่า Power supply B
ดูยังไง Watt แท้ Watt เทียม
ถ้านอกเหนื่อจากการดูจำนวน AMP ที่ Power supply lมารถจ่ายได้แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ”ราคา” Power supply 550 watt ราคา 500 บาท อันนี้ดูได้เลยครับว่าวัตต์ไม่แท้ “แต่ถ้าคุณเจอพ่อค้าหัวใส อับราคาของจาก 500 าเป็น 800 หล่ะ นั่นหน่ะสิ ก็ให้ดูที่วัสดุและน้ำหนักครับ Power supply วัตต์แท้จะค่อนข้างมีน้ำหนักมากกว่า วัตต์เทียมอย่างเห็นได้ชัด “อ้าวแล้วถ้าทั้งร้านเค้ามียี่ห้อเดียวหล่ะ”   นั่นสิครับทำไงดี เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่ได้เป็นพวกเล่นเกมส์หรือใช้งาน VGA ระดับเทพ ผมว่า Power ธรรมดา 450 W ราคา 500-600 บาทก็เพียงพอกับความต้องการของคุณครับ แต่ถ้าเป็นพวกตรงข้าม ก็แนะนำให้คุณมองหา Power supply ที่มีแอมป์สูง ๆ มีวัตต์มาก ๆ และมีราคาสูงหน่อยครับ อย่างที่ผมเห็น ๆ นะ ก็ Enermax ครับอันนี้ watt แท้แน่นอน


หลักการทำงานของพาวเวอร์ ซัพพลาย และ แก้ไขอาการเสียเบื้องต้น


พาวเวอร์ซัพพลาย ทั้งแบบ AT และ ATX นั้นมีลักษณะการทำงานที่เหมือนกัน คือรับแรงดันไฟจาก 220-240 โวลต์ โดยผ่านการควบคุมด้วยสวิตช์ สำหรับ AT และเมนบอร์ด แล้วส่งแรงดันไฟส่วนหนึ่งกลับไปที่ช่อง AC output เพื่อเลี้ยงตัวมอนิเตอร์ และจะส่งแรงดันไฟ 220 โวลต์ อีกส่วนหนึ่งเข้าสู่หน่วยการทำงานที่ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟสลับ 220 โวลต์ ให้เป็นไฟกระแสตรง 300 โวลต์ โดยไม่ผ่านหม้อแปลงไฟ ระบบนี้เรียกว่า (Switching power supply ) และผ่านหม้อแปลงที่ทำหน้าที่แปลงไฟตรงสูงให้เป็นไฟตรงต่ำ โดยจะฝ่านชุดอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กำหนดแรงดันไฟฟ้าอีกชุดหนึ่งแบ่งให้เป็น 5 และ 12 ก่อนที่จะส่งไปยังสายไฟและตัวจ่ายต่างๆ โดยความสามารถพิเศษของ Switching power supply ก็คือ มีชุด Switching ที่จะทำการตัดไฟเลี้ยงออกทันทีเมื่อมีอุปกรณ์ที่โหลดไฟตัวใดตัวหนึ่งชำรุด เสียหาย หรือช็อตนั่นเอง

เอาละครับ เรารู้หลักการทำงานคร่าวๆ ของ Power supply แล้ว เรามาดูถึงอาการเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าจะวิเคราะห์อาการเสียอย่างง่ายๆ ก็มี เช่น

# เปิดแล้ว พัดลมไม่หมุนแต่เครื่องติด

หากอาการแบบนี้ให้คุณทราบไว้ เลยว่า พัดลมระบายความร้อนในพาวเวอร์ซัพพลายของคุณนั้นมันเกิดอาการเสียซะแล้ว อาจเป็นเพราะเกิดการฝืดเนื่องจากมีฝุ่น หรือหยากไย่เข้าไปค้างอยู่ หากปล่อยไว้นานๆ ก็อาจทำให้ พาวเวอร์ซัพพลายของคุณพังได้ วิธีแก้ก็คือให้คุณ ตัดเอาพัดลมพร้อมสายไฟออกแล้วเดินไปที่ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (แถวบ้านหม้อก็ได้) แล้วยื่นพัดลมให้คนขายดูเขาก็จะหยิบตัวใหม่ที่เหมือนกันเปี๊ยบมาให้คุณ คุณก็เอากลับไปต่อกับตัวพาวเวอร์ได้เหมือนเดิม แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่า ราคาพัดลมกับพาวเวอร์ซัพพลายตัวใหม่นั้นมีราคาใกล้เคียงกันมากทีเดียว แต่ลองหัดซ่อมดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ

# เปิดแล้วเครื่องไม่ติดพัดลมไม่หมุน

หากเกิดอาการอย่างนี้อย่าเพิ่ง สรุปนะครับว่า พาวเวอร์ซัพพลายของคุณเสีย เพราะอย่างที่บอกไว้ในหัวข้อข้างต้นก็คือ Power supply แบบ Switching นั้น สามารถที่จะตัดกระแสไฟได้ถ้าหากมีอุปกรณ์ที่โหลดไฟจากตัวมันไปชำรุด ดังนั้นวิธีเช็กก็คือให้คุณถอดอุปกรณ์ที่โหลดไฟจากพาวเวอร์ซัพพลายทั้งหมด ออกมาก่อนแล้วเปิดดู หากพัดลมติด และใช้มัลติมิเตอร์วัดดู ถ้าเข็มแสดงว่ามีไฟเลี้ยงเข้าแสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งของคุณนั้นเกิด อาการชำรุดหรือช็อต วิธีทดสอบก็คือให้เสียบไฟโหลดนั้นทีละตัว แล้วเปิดดูหากอุปกรณ์ชิ้นไหนชำรุดพาวเวอร์ซัพพลายก็จะไม่หมุน (ตัวอย่างที่พบกันบ่อยๆ ก็คือคุณประกอบเมนบอร์ดเข้ากับตัวเคส โดยที่ไม่ได้ใช้แผ่นโฟมหรือขาพลาสติกรอง ทำให้ลายวงจรของเมนบอร์ด เกิดการสัมผัสกับตัวเคสที่เป็นตัวนำไฟฟ้าทำให้เกิดการลัดวงจรขึ้น ดังนั้นถ้าเกิดกรณีอย่างนี้ให้คุณรีบปิดตัวพาวเวอร์ซัพพลายโดยเร็ว และใช้แผ่นโฟมหรือแหวนรองน็อต ใส่ก่อนทุกครั้งที่ประกอบเครื่องลงเคส ไม่งั้นคุณอาจต้องน้ำตาร่วงเพราะเสียเงินซื้อเมนบอร์ดใหม่)
วิธีวัดพาวเวอร์ ซัพพลาย ถ้ามีเข็มขึ้น
แสดงว่าพาวเวอร์ซัพพลายของคุณปกติ

สาเหตุหนึ่งน่าจะเกิดจาก การที่ฟิวส์ที่อยู่ภาพในตัวพาวเวอร์ซัพพลายเองขาด วิธีดูว่าฟิวส์ขาดหรือไม่ก็ให้ดูด้วยตาเปล่า หรือถ้ามีเขม่าจบในฟิวส์มากๆ ก็ให้ถอดฟิวส์ออกมาวัดโดยวัดจากค่าความต้านทานในฟิวส์ ตรงนี้คุณต้องถอดออกมาจากวงจรนะครับ ถึงจะวัดได้ ถ้าไม่มีความต้านทานขั้นก็แสดงว่าฟิวส์ขาด แต่ถ้าฟิวส์ไม่ขาด แล้วยังไม่มีไฟเข้าที่พาวเวอร์ซัพพลายอีก สาเหตุน่าจะมาจาก สายไฟที่คุณใช้ต่อไฟกระแสสลับเข้าสู่ไฟบ้านมีอาการชำรุด ขาดใน หรือแผงวงจรร หรือ อุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งของพาวเวอร์ซัพพลายเกิดความเสียหาย

สำหรับในกรณีแรกให้คุณลอง หาสายไฟมาเปลี่ยนดู แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่สอง ก็เปลี่ยนพาวเวอร์ซัพพลายใหม่เถอะครับ ไม่ต้องเสียเวลาซ่อมเพราะมันไม่คุ้ม อ้อ ก่อนการลงมือซ่อมพาวเวอร์ซัพพลายทุกครั้งอย่าลืมว่าต้องใส่รองเท้าหนาๆ ด้วยนะครับ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวคุณเอง

Power Supply ที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน จะเป็นสาเหตุให้อุปกรณ์อื่นๆในคอมพิวเตอร์เสียหายได้ โดยเฉพาะ Harddisk ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบสภาพของ Power Supply อยู่เสมอ ถ้าพบว่าเสียหายควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนตัวใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป

Power Supply มี 2 แบบ
แบบที่ 1. แบบ Linear มีหม้อแปลงใหญ่ขนาดใหญ่ ตัดวงจรโดย Fuse
แบบที่ 2. แบบ Switching มี Transistor ทำหน้าที่ตัดวงจร
       2.1 แบบ XT มีขนาดใหญ่ มีหัวเดียว 12 เส้น มี Switch ปิด-เปิดอยู่ด้านหลัง Power Supply
       2.2 แบบ AT เล็กกว่า XT มีหัวเสียบ 2 หัว คือ P8 , P9 มีสวิทช์ปิด-เปิดโยงจาก Power Supply มายังหน้า Case (ราคาประมาณ 450 บาท)
       2.3 แบบ ATX แบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีหัวเสียบเดียว 20 เส้น ไม่มี Switch ปิด-เปิด เมื่อสั่ง Shut Down จาก Program เครื่องจะปิดเองโดยอัติโนมัติ (ราคาประมาณ 600-800 บาท)

* ถ้าต้องการตรวจสอบการใช้งานในขณะที่ไม่ได้ต่อกับ Mainboard ให้ Jump สายสีเทา (หรือสีเขียว) กับสีดำ พัดลมของ Power Supply จะหมุน แสดงว่าใช้งานได้


การใช้มิเตอร์วัดไฟ Power Supply
ดำ + ดำ = 0 V
ดำ + แดง = 5 V
ดำ + ขาว = -5 V
ดำ + น้ำเงิน = -12 V
ดำ + ส้ม = 5 V
ดำ + เหลือง = 3.3 V
ดำ + น้ำตาล = 12 V

* เข็มมิเตอร์ตีกลับ ให้กลับสาย ใช้ค่า ติด -

*AC=220 V (L กับ N)
L1 380 Vac
L2 380 Vac
L3 380 Vac
N Nutron , G ไม่มีไฟ
*230W (23A) - 300W (30A)
โดย W=V*I  
ส่วนของ Power Supply ที่สามารถตรวจซ่อมได้
1. Fuse
2. Bridge
3. Switching
4. IC Regulator
5. C ตัวใหญ่
6. IC
ที่มา : http://www.noom2662.com/webboard/index.php?topic=939.0


วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การดู Spec Notebook สำหรับมือใหม่ Update 2011


   การดู Spec Notebook สำหรับมือใหม่ Update 2011







สำหรับใครที่ต้องการโน๊ตบุ๊กสักเครื่อง การดูสเปกได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก (ยกเว้นจะให้เพื่อนๆที่ดูเป็นคนช่วย) เพราะหมายถึงการที่ได้เครื่องตรงความต้องการใช้งานของเรามากที่สุด ต่องบประมาณที่จำกัด บางท่านอาจจะต้องการใช้แค่พิมพ์งานเล่นเน็ต แต่ดูสเปกไม่เข้าใจอาจจะไปซื้อเครื่องรุ่นใหม่ที่กินตัวไป เพราะเห็นแค่เพียงว่าราคาสูงน่าจะใช้งานเราได้แน่ๆ หรือบางท่านต้องการเครื่องที่มีพอร์ตต่างๆตามต้องการเช่น HDMI สำหรับต่อจอ LCD TV หรือ E-Sata สำหรับต่อฮาร์ดดิสค์ความเร็วสูง ถ้าเราดูสเปกผิดเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้เราซื้อเครื่องมาผิดจุดประสงค์การ ใช้งานได้เพราะฉะนั้น การดูสเปกแบบคร่าวๆพอเข้าใจอาจจะไม่ต้องถึงขั้นรู้เทคโนโลยีอะไรมากมายเพียง แต่สามารถจับจุดได้ แค่นี้ก็สบายหายห่วงแล้ว
ออกตัวก่อนนะครับว่าในบทความนี้จะแนะนำแค่คราวๆ ไม่ถึงกับลงลึกไปว่า งานนี้ควรจะใช้ซีพียูอะไร เพียงแต่แนะนำพอรู้ถึงกลุ่มต่างๆเท่านั้นนะครับ ไปดูทีละส่วนกันเลย
CPU
คือหน่วยประมวลผลเปรียบเหมือนสมองกลของ คอมพิวเตอร์ บางท่านอาจจะคิดว่ามันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมรึเปล่า แต่ไม่ใช่อย่างนั้น CPU คือ Chip ขนาดประมาณ 1นิ้ว x 1 นิ้ว ใหญ่ว่า หรือ เล็กกว่า (แล้วแต่ Model) โดยในโน๊ตบุ๊กนั้นแม้จะไม่ค่อยนิยมเปลี่ยนซีพียูเองเท่าไรเพราะ หาซื้อยาก มีราคาสูง และอาจจะกระทบกับการรับประกันได้ แต่ก็มีหลายๆท่าน ลองเปลี่ยนดูมาแล้วนะครับ

ปัจจุบันมีผู้ผลิต CPU Notebook รายใหญ่อยู่แค่ 2 บริษัท คือ AMD และ Intel ซึ่งส่วนมาก Intel จะครองตลาดซะมากกว่า โดยจะแบ่งได้หลายระดับที่นิยมและมีขายในตอนนี้ทั้ง

Intel
  • Atom นิยมใช้ใน Netbook เพราะขนาดที่เล็กและราคาที่ไม่แพงรองรับการใช้งานเป็นอย่างดี ในการใช้งานเบาๆ
  • Pentium Dual Core ซีพียู 2 Core ระดับเริ่มต้น มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูงแต่ไม่สูงเท่า Core2Duo รองรับการทำงานที่หนักขึ้นมาจาก Netbook
  • Core 2 Duo ซีพียู 2 Core ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับดี สามารถใช้งานหนักร่วมไปถึงเล่นเกมส์ได้ดีพอสมควร ตามระดับความเร็วของซีพียู โดยจะแบ่งเป็น 2 Series ทั้ง T Series ในแพลตฟอร์มเซนทริโน 1 และ P Series ในแพลตฟอร์มเซนทริโน 2
  • Core 2 Quad ซีพียูในระดับ 4 Core สามารถประมวลผลหนังๆเล่นเกมส์ได้สบาย แต่ด้วยราคาที่ยังสูงอยู่จึงนิยมใช้ในเครื่องที่มีราคาสูงๆทั้งนั้น
  • Core i ที่มีทั้ง i3 i5 i7 ซีพียูตัวแรงประจำปี 2010 ด้วยการปฎิวัติการออกแบบซีพียูใหม่ ที่มีทั้งการเพิ่ม Hyper threading หน่วย Core เสมือน และ Turbo Boost ซึ่งทำให้ซีพียูสามารถเพิ่มความเร็วเองได้อัตโนมัติ ที่มีใน Core i5 และ i7 แต่ i7 นั้นจะเด็ดกว่าด้วยเป็นซีพียู 4 Core แท้ อีกทั้งยังมีรหัสต่อท้ายเช่น M 2 Core และ QM 4 Core
  • Core i Gen 2 เป็นการพัฒนาอีกขั้นจาก Core i เดิม โดยจะเพิ่มชื่อรหัสเลข 2 เข้าไปเช่น Core i5-2410M โดยจะเป็นรุ่นใหม่ประจำปี 2011 ที่เพิ่มประสิทธิภาพเข้าไปให้สามารทำงานได้เร็วขึ้น การ์ดจอออนบอร์ดตัวใหม่ที่สามารถชมภาพยนตร์ 1080p ได้โดยไม่ต้องพึ่งการ์ดจอแยก
AMD
  • Athlon II รุ่นเก่าไม่มีขายแล้ว เด่นที่ราคาประหยัดแต่ก็มีความร้อนสูง
  • Phenom เป็นซีพียูเด่นประจำปี 2010 โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับดีคุ้มค่า ความร้อนต่ำ ที่สำคัญคือมีให้เลื่อกทั้ง X2 X3 X4 เพื่อแบ่งตามจำนวน Core ของซีพียู ที่เป็ฯ Core แท้ไม่ใช่ Core เสมือน
  • APU เป็นการปฏิวัติประจำปี 2011 ด้วยการผนวกรวมซีพียูและการ์ดจอเข้าไปในชิปตัวเดียวกัน ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น ราคาถูกลงแต่ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการ์ดจอแยก โดยจะเรียกว่า APU ทั้งซีพีรีย์ C E และ A
  • E C Series เป็นรุ่นล่างของ APU โดยออกแบบมาเพื่อ Tablet และ Netbook ประสิทธิ์ภาพพอใช้งานทั่วไป ใช้พลังงานต่ำแผ่ความร้อนน้อย และที่สำคัญที่ดีกว่าคู่แข่งคือการ์ดจอที่แรงกว่าพร้อมรองรับ DX11
  • A Series ล่าสุดของปี 2011 สำหรับโน้ตบุ๊กที่ต้องการทั้งการประมวลผลขั้งสูง และราคาคุ้มค่า โดดเด่นที่จำนวน Core 4 หัวในรุ่น A6 ขึ้นไป อีกทั้งยังมากับการ์ดจอภายในที่มีประสิทธิภาพสูงพร้อม CrossFire กับการ์ดจอแยกได้ด้วยทำให้เพิมประสิทธิภาพการ์ดจอไปได้อีกโดยที่งบประมาณไม่ เพิ่มขึ้นมากนัก
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพซีพียู >>Link<<
Chipset
คือส่วนที่ค่อยควบคุม อุปกรณ์แทบทั้งหมดของเครื่อง หรือเรียกได้ว่าเป็นตัวประสานงานต่างๆขอบอุปกรณ์บนเมนบอร์ดก็ว่าได้ ตั้งแต่ซีพียู แรม …. ไปจนถึงพอร์ตต่างๆ ล้วนแต่พึ่งพา ชิปเซ็ตทั้งนั้น มีผู้ผลิตชิปเซ็ตก็มีทั้ง Intel ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ที่สุด โดยจะผลิตชิปเซ็ตมารองรับซีพียูของตนเองเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว พอซีพียูรุ่นใหม่ออกก็จะผลิตชิปเซ็ตออกมารองรับทันทีทันใด แน่นอนว่าซีพียูเป็นของ Intel เกือบทั้งหมด ชิปเซตเอง Intel ก็กินส่วนแบ่งเกือบทั้งหมด แต่ก็มียี่ห้ออื่นๆที่หลุดๆมาบ้างทั้ง AMD ที่เหมือนๆกับ intel คือผลิตชิปเซ็ตให้ซีพียูตนเองเป็นหลัก นอกเหนือจากนั้นก็มีทั้ง NVIDIA, SIS, VIA
Chipset
โดยในปัจจุบันซีพียูหลายรุ่นจะผนวกรวม north bridge ชิปหลักที่ความคุมอุปกรณ์หลักๆเช่นการ์ดจอ แรม ซีพียูเข้าไปในซีพียูแล้วเพื่อทำให้สามารถลดเวลาการสั่งงานไปได้เช่น APU ของ AMD แต่ก็ยังคงมี south bridge ที่คอยควบคุมอุปกรณ์อื่นๆแยกอยู่ เช่น HDD พอร์ตต่างๆ

Graphic Chip
คือหน่วยที่ประมวลผลด้านภาพออกมาแสดงทางจอ มีด้วยกัน 2 ประเภทคือ Onboard ที่จะรวมภาคประมวลผลภาพของการจอลงในชิปเซ็ตของเครื่องด้วย และแน่นอนว่ายังคงเป็นของ Intel เสียส่วนใหญ่ ความสามารถนั้นก็ถือว่าเป็นในระดับล่าง ใช้งานทั่วไป ดูหนัง เล่นเกมส์ที่ความละเอียดไม่สูงมากได้บ้าง
อีกชนิดหนึ่งคือแยกชิปเซ็ตแยกจากชิปเซ็ตหลัก มีทั้งแบบเป็นการ์ด และแบบที่เป็นชิปเซ็ตฝังบนเมนบอร์ดเลย โดยมีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ 2 ราย คือ ATI และ NVIDIA ความสามารถต่างๆ นาๆ นั้นก็จะขึ้นอยู่กับราคา ยิ่งแพงการประมวลผลด้านภาพก็จะยิ่งดี ยิ่งเล่นเกมส์ ดูหนัง Hi-Def ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รุ่นยอดฮิตในไทยก็ได้แก่
Onboard
  • Intel GMA 4500MHD จะเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Core 2 Duo รองรับการใช้งานทั่วไป ไม่มีขายแล้ว
  • Intel GMA HD จะเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Core i รองรับงานทั่วไปรวมถึงภาพยนตร์ 720p ได้
  • Intel GMA HD 3000/2000 จะเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Core i Gen 2 รองรับงานทั่วไปรวมถึงภาพยนตร์ 1080p ได้ รวมถึงเกมส์ที่ความละเอียดไม่สูงมากนัก
NVIDIA
    • รหัสห้อยท้ายชื่อรุ่นจะแบ่งตามระดับการ์ดจอได้แก่ GS ระดับเริ่มต้นเล่นเกมส์ได้นิดหน่อย GT เล่นเกมส์ได้ระดับกลางๆ และ GTX สูงสุดเล่นเกมส์ได้ที่ความละเอียดเต็มที่
    • 9xxx /1xx /2xx /3xx  รุ่นเก่าที่ไม่มีจำหน่ายแล้วรองรับแค่ DX10
    • 4xx ซีรีย์ประจำปี 2010 ซีรีย์แรกที่รองรับ DX11
    • 5xx ซีรีย์ประจำปี 2011
    • 6xx ซีรีย์ประจำปี 2012

ATI
  • Series 3xxx เป็นรุ่นที่ไม่เก่ามาก 3410 > 3450 > 3470 > 3650 > 3670
  • Series 4xxx เป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมา มีประสิทธิภาพที่ดีทีเดียวเลย และคาดว่าจะมีอีกหลายๆรุ่นตามมา ได้แก่ 4570 > 4650
  • Series 5xxx รุ่นประจำปี 2009 รองรับ DX11
  • Series 6xxx รุ่นประจำปี 2011 มีทั้งที่เป็นออนบอร์ดอยู่ใน APU และ แบบการ์ดจอแยกมาเลย โดยดูจาก M ต่อท้ายจะเป็นการ์ดจอแยก
  • Series 7xxx รุ่นประจำปี 2012 
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพการ์ดจอ >>Link<<


Graphic Chip
Display
คือส่วนที่เป็นจอภาพ โดยจอภาพนั้น จะมีขนาดเล็กๆตั้งแต่ 7 นิ้ว ไปจนถึง ใหญ่ๆ 18 – 20 นิ้วกันเลยทีเดียว ตามความต้องการเช่นใครต้องการพกพาสะดวกก็ดูรุ่นที่จอเล็กๆหน่อย แต่ถ้าใครซื้อไปเป็นเครื่อง PC สำหรับดูหนังเล่นเกมส์แบบว่าไม่ค่อยได้ยกไปไหนมาไหน จะซื้อรุ่นที่จอใหญ่ๆก็ตามชอบเลยครับ และอีกสิ่งที่เป็นข้อสังเกตุคือ Resolution ยิ่งมีค่าสูงจอภาพก็จะมีความละเอียดมาก เช่น จอที่ไว้ดูหนัง Hi-Def โดยเฉพาะ จะอยู่ที่ 1920×1080 ซึ่งจะพบได้ใน Notebook ระดับ Hi-End ราคาสูง
  • เน้นพกพา เหมาะกับจอภาพ 7 – 11 นิ้ว
  • ไม่หนักมาก แต่จอภาพก็ไม่เล็กเกินไป 12 – 13 นิ้ว
  • ใช้งานทั่วไปตามมาตรฐาน 14 – 15 นิ้ว
  • เน้นจอใหญ่ใช้งานมัลติมีเดีย 15 – 17 นิ้ว
นอกจากนั้นยังมีชนิดของจอภาพเข้ามาเป็นตัวเลือกให้อีกโดยปรกติจอภาพส่วน ใหญ่นั้นจะเป็นจอกระจกเพราะมีคุณภาพดีคุ้มค่าราคาไม่สูงเกินไป และยังให้สีสันคมชัดสวยงาม แต่สำหรับผู้ที่ต้องจ้องคอมนานๆหรือนำเครื่องไปใช้งานกลางแจ้งน่าจะมองจอภาพ แบบจอด้านหรือ anti-glare จะเหมาะกว่าครับ
1920×1080
Memory
เป็นหน่วยความจำชั่วคราวสำหรับเป็นที่พักข้อมูล ยิ่งมีความจุสูงก็จะยิ่งทำให้ Notebook สามารถทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น และความเร็วของแรมเช่น 667 800 1066 1333 MHz นั้นยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้เครื่องทำงานได้ไวสอดคล้องกับซีพียูมากขึ้น ส่วนมากของโน๊ตบุ๊กในปัจจุบันใช้ RAM DDR3 กันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีโน้ตบุ๊กรุ่นเก่าๆที่ใช้ DDR2 อยู่บ้าง  โดยการเลือกใช้นั้นด้วยราคาแรมในปัจจุบันที่ถูกลงมามาก แรมก็ไม่ควรต่ำกว่า 4 GB เป็นอย่างน้อย เพราะในระดับนี้จะทำอะไร เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ทำงาน ในเครื่องสามารถใช้งานได้สบายๆแล้ว ซึ่งโน้ตบุ๊กทั่วๆไปจะรองรับความจุสูงสุดได้ 8 GB
RAM DDR2
Hard Disk
เป็นหน่วยความจำหลักที่จะบรรจุซอฟแวร์ต่างๆไว้ใน นี้ ถ้า Hard Disk มีความจุมากก็จะทำให้มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลต่างๆเช่น หนัง เพลง มาก จนไม่ต้องกลัวว่าจะเต็มๆ ในเครื่องปัจจุบันที่ขายกันทั่วๆไปต่ำๆก็จะมีมาให้ 320 GB เพียงพอสำหรับเก็บข้อมูลได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ๆเป็นประจำ ก็ไม่ควรน้อยกว่า 640 GB อีกทั้งยังมาฮาร์ดดิสค์อีกประเภทที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นคือชนิด Sloid-State Drives (SSD) เป็นฮาร์ดดิสค์ที่ใช้ IC Chip มาบันทึกข้อมูลแทน แบบจานหมุนในฮาร์ดดิสค์ทั่วไป ซึ่งทั้งเร็วและมีความคงทนสูงกว่าฮาร์ดดิสค์แบบธรรมดาที่เราใช้กันอยู่ แต่ก็มีราคาสูงตามไปด้วย ซึ่งจะเริ่มเห็๋นจำหน่ายกันมากขึ้นและนำมาใช้กับโน้ตบุ๊ก Hi end กัน โดยฮาร์ดดิสค์ทั่วๆไปที่แถมมากับเครื่องจะมีความเร็วรอบจานหมุนที่ 5400 RPM แต่ถ้าจะให้ดีควรจะมีความเร็วที่ 7200 RPM จะสามารถใช้งานได้รวดเร็วกว่า
Hard Disk
Drive
มีหลายชนิดมากมายเลยครับ ที่นิยมนำมาลง Notebook มากที่สุดตอนนี้ก็คงเป็น
DVD Writer (Dual Layer Support) ที่สามารถ อ่าน-เขียนแผ่น DVD ก็จะมีตั้งแต่เขียนได้ 8X 16X 20X ครับ ส่วน Drive ที่มาแรงคงหนีไม่พ้น Blu-Ray ที่มีขนาดบรรจุถึง 27 G อัตราการโอนถ่ายข้อมูลเร็วถึง 36 Mbps แต่ติดที่ยังราคาแพงอยู่ แต่ในอนาคตไดร์ฟและแผ่นแบบ Blu-Ray จะเข้ามาเป็นมาตฐานใหม่แทน DVD ในไม่ช้านี้แน่นอน
Blu-Ray Disc









Display Port

DisplayPort คล้ายๆ HDMI แต่จะเหนือกว่าด้วยความสามารถในการส่งข้อมูลที่ 10 Gbit/s ทำให้รองรับความละเอียดได้สูงถึง 2560 x 1600 (ขณะที่ HDMI จะทำได้แค่ 1080p เท่านั้น) ปัจจุบันนิยมใน Macbook และ Thinkpad เพราะรองรับความละเอียดสูงได้กว่า HDMI พร้อมทั้งแปลงเป็น HDMI ได้ด้วย
USB 3.0
USB 3.0 นั้นจะมีความเร็วสูงกว่า USB 2.0 ถึง 10 เท่าโดยจะมีความเร็วในการแลกเปลียนข้อมูลสูงสุดถึง 4.8 Gbps ซึ่งสูงกว่า USB 2.0 ที่มีความเร็วในการแลกเปลียนข้อมูลสูงสุด 480 Mbps ซึ่งจะทำให้ USB 3.0 นั้นสามารถทำการอ่านข้อมูลได้ไปพร้อมๆ กับเขียนข้อมูลในคราวเดียวกัน ซึ่งต่างกับ USB 2.0 ที่ต้องทำการอ่านหรือเขียนได้ทีละอย่าง
USB 3.0 นั้นได้ลดพลังงานการใช้งานอุปกรณ์น้อยลงจาก 4.4 V เหลือ 4 V แต่เพิ่มความเร็วในการส่งพลังงานให้เยอะขึ้นจาก 500 mA เป็น 900 mA ซึ่งจะทำให้การชาร์ตอุปกรณ์ที่สนับสนุน USB 3.0 ที่เสียบผ่านสาย USB 3.0 ชาร์ตเร็วขึ้นด้วย หรือการสนับสนุนอุปกรณ์รุ่นก่อนเช่น USB 2.0 ซึ่งยังสามารถทำการเสียบอุปกรณ์ USB 2.0 เข้า USB 3.0 ได้แล้วยังเสียบอุปกรณ์ USB 2.0 เข้า USB 3.0 ได้อีกด้วยเช่นกัน โดยจะมีความเร็วแค่เท่าของ USB 2.0

USB
คงไม่มีใครไม่รู้จัก USB น่ะครับ เป็น Port ที่ส่งถ่ายข้อมูลแบบอนุกรม ที่ได้รับความนิยมสูงสุดมีใช้ในอุปกรณ์ต่อเชื่อมแทบทุกชนิด ตั้งแต่แฟลตไดร์ฟ ยังจอภาพ LCD เลยทีเดียว ด้วยความสามารถเด็ดคือ Plug & Play คือสามารถใช้งานได้ทันทีไม่ต้องรีสตราทเครื่องหรือบางอยางเช่นแฟลชไดร์ฟไม่ ต้องลงไดร์วเวอร์ก็สามารถใช้งานๆได้ทันที ในปัจจุบันใช้ USB 2.0 เป็นหลัก ซึ่งจะมีความเร็วอยู่ที่ 480 MB/s และอีกไม่นาน USB 3.0 ก็จะเข้ามาแล้ว ซึ่งจะมีความเร็วมากว่า 2.0 ถึง 10 เท่า
 
Thunderbolt



เป็นพอร์ตที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง Intel และ Apple ซึ่งได้ติดตั้งมาแล้วใน MacBook Pro รุ่นปี 2011 โดย Thunderbolt port สามารถเล่นวิดีโอที่มีความละเอียด 1080p ได้พร้อม ๆ กันถึง 4 เรื่อง และยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลของไฟล์ขนาด 5 GB จาก Hard drive ไปยังคอมพิวเตอร์ภายในเวลาประมาณ 10 วินาที เท่านั้น แต่ว่าอุปกรณ์ที่รองรับยังน้อยอยู่ และยังมีศตรูอย่าง USB 3.0 ที่ทำให้เกิดได้ยาก
Firewire
หรือ ที่นิยมเรียกกันว่า IEEE 1394 เป็น Port มีลักษณะดังในภาพ คล้ายรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หรืออีกรูปแบบนึงซึ่งจะมีขนาดเล็กกว่า ใช้โอนถ่ายข้อมูลเป็นหลักคล้ายๆกับ USB โดยมีความเร็วอยู่ที่ 400 MB/s อาจจะดูด้อยกว่า USB 2.0 เล็กน้อยแต่ก็แลกมาด้วยความนิ่งของสัญญาณที่ไม่แกว่งเหมือน USB นิยมใช้ในกล้องวีดีโอความละเอียดสูง แต่อีกไม่นานเมื่อ USB เข่าสู่เวอร์ชั่น 3 เมื่อไรพอร์ตนี้คงจะเริ่มหายจากไปเหลือเพียงใช้งานในบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนใหญ่ Port Firewire ส่วนใหญ่จะใช้กับกล้อง VDO CamCoders เป็นหลัก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว


Firewire
DVI
เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้จอ LCD Notebook ที่มี Port นี้มีค่อนข้างน้อยมากครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน Notebook รุ่นที่มีราคาสูงๆ โดยจะเป็นส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งให้คุณภาพในการแสดงผลที่ดีกว่าแบบอนาล็อค แบบในพอร์ต D-SUB ที่นิยมใช้กันในโน๊ตบุ๊กทั่วๆไป
DVI
D-SUB หรือ VGA
หรือที่เรียกกันอีกแบบว่า VGA port เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้อุปกรณ์แสดงภาพภายนอกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เรียกได้ว่ามีในโน๊ตบุ๊กแบบทุกเครื่องเลย ถึงแม้คุณภาพของภาพที่เป็นระบบสัญญาณอนาล็อกจะด้อยกว่า DVI แต่ด้วยมีอุปกรณ์รองรับมากที่สุดทำให้เป็นพอร์ตสำหรับต่อแสดงผลที่ได้รับ ความนิยมสูงสุด (แต่ในอนาคตคาดว่าจ HDMI จะมาแทนในไม่ช้า) รองรับทั้งจอแบบ LCD CRT รวมถึงเครื่องโปรเจ็คเตอร์ด้วย
S-video
เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้จอ TV โน๊ตบุ๊กรุ่นเก่าๆหน่อยจะมีพอร์ตนี้กันเยอะ แต่ในรุ่นใหม่ๆก็แทบไม่มีแล้วเพราะมีพอร์ตอื่นๆเข้ามาแทนที่ เช่น HDMI
e-SATA
เป็น Port ที่เอาไว้ต่อกับ External Hard disk หรือ Hard disk ธรรมดาก็ได้ โดยพอร์ต e-SATA นั้นจะมีความเร็วมีหลักการทำงานเช่นเดียวกับพอร์ต SATA บนเมนบอร์ดเลย ด้วยความเร็วสูงถึง 3000 Mbit/s แต่ในพอร์ต e-SATA จะมีแปลงหัวต่อให้สามารถใช้งานเป็นพอร์ต USB ได้ด้วย
e-SATA

HDMI

หรือย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ตามที่ชื่อบอกเลยครับว่ารองรับงานมัลติมีเดียเต็มที่ ด้วย Port ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเล่น HDMI ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวก LCD TV หรือ เครื่องเสียง โดยในสาย HDMI จะรวบร่วมสัญญาณดิจิตอลทั้งภาพและเสียงที่ส่งไปในสาย HDMI เส้นเดียว ทำให้มีความสะดวกเพราะไม่ต้องต่อสายหลายสายให้วุ้นวาย โดยในโน๊ตบุ๊กสมัยใหม่ที่รองรับก็จะติดตั้งพอร์ต HDMI มาให้ใช้งานได้เลย โดยสาย HDMI รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดประมาณภาพยนตร์ HD 1080p เลยทีเดียว
HDMI

Card Reader

คือ Port ที่เอาไว้ใส่ การ์ดอ่านการ์ดต่างๆ MMC , MSD , CF และอื่นๆ แล้วแต่ผู้ผลิตว่าจะติดตั้งเครื่องอ่านการ์ดชนิดใดมาบางส่งใหญ่ที่นิยมกันก็ เช่น SD MMC
Express Slot
คือ Port อีกชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากบนเมนบอร์ด ซึ่งเอาไว้ ต่อกับการ์ดต่างๆ เพื่อเพอ่มประสิทธิภาพเครื่องให้สูงขึ้นสามารถทำงานได้หลายอย่างมากขึ้นเช่น Air Card , Sound Card หรือแม้กระทั่ง เพิ่มพอร์ต USB LAN โดยจะแบ่งกันเป็น 3 แบบหลักตามขนาดโดยในแต่ละเครื่องจะแตกต่างกันไป แต่ที่นิยมในปัจจุบันมากที่สุดจะเป็น Express Card 54
ตัวอย่าง Express Slot ทั้ง 3 รูปแบบ

Finger Print

หรือที่สแกนลายนิ้วมือ ที่สามารถใช้ลายนิ้วมือของตัวเองตั้งเป็นรหัสเพื่อเข้าเปิดเครื่อง หรือเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เหมาะสมกับนักธุรกิจ ยัน นักศึกษาเลยด้วยซ้ำครับ
Finger Print
Wireless Lan
หรือ Wi Fi ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ทำให้เราสามารถนำโน๊ตบุ๊กไปเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ได้ทุกที่ทุกเวลาในที่มีสัญญาณ Wi Fi โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสายแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันด้วยความสะดวกสะบายนี้ และด้วยระบบ IEEE 802.11 นั้นมี 2 มาตรฐาน หลักๆที่นิยมใช้ในโน๊ตบุ๊กคือ N รองรับการเชื่อต่อที่ความเร็ว 36-54 Mbps และ N รองรับการเชื่อมต่อที่ความเร็ว 74 Mbps และสูงสุดที่ 248 Mbps โดยในโน๊ตบุ๊กยังมีจำนวนน้อยที่รองรับมาตรฐานนี้ส่วนใหญ่จะเป็น รุ่นในแพลตฟอร์มเซนทริโน 2 เป็นหลักที่รองรับ
Bluetooth
คือคอนเน็ตเตอร์ไร้สายอีกประเภทที่รู้จักเป็น อย่างดีเพราะในโทรศัพท์มือถือ นั้นได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กันอย่างกว้างขวาง และในโน๊ตบุ๊กเองก็มีการนำมาใช้ทั้งเชื่อมต่อเผื่อโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง เครื่อง ไปจนถึงเชื่อต่อกับโทรศัพท์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วย แต่ข้อเสียก็คือ ส่งข้อมูลได้ช้าเพราะมีความเร็วแค่เพียง 100kb/sec และไม่สามารถเชื่อมต่อได้ไกลมากนัก ประมาณ 10 เมตร จึงทำให้ความนิยมลดน้อยลงไปปัจจุบันพัฒนาถึงเวอร์ชั่นที่ 4 แล้ว
LAN
หรือ RJ-45 เป็นคอนเน็ตเตอร์ในการเชื่อมต่อสู่ระบบเครือข่ายซึ่งเป็นที่นิยมสูงมาก ตั้งแต่ตามบ้านเรือน จนถึงองค์กรณ์ใหญ่ๆด้วยความเร็วสูงที่การเชื่อมต่อรูปแบบอื่นๆไม่สามารถทัด เทียมได้ยาก ด้วยความเร็วตั้งแต่ 10,100 MB/s จนไปถึงระดับ 1 GB/s (1,000 MB/s) ในโน๊ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆก็อยู่ในระดับ 1 GB/s แทบทั้งนั้นเลย ด้วยความเร็วสูงขนาดนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและยังเป็นที่นิยมต่อไป อีกนาครับ
LAN

Modem

หรือที่เรียกว่า RJ-11 ตามชนิดของหัวต่อ เป็นคอนเน็ตเตอร์รุ่นแรกๆของโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในสมัยก่อน ที่ความเร็ว 56 K (ในสมัยนี้ก็ยังมีใช้กันอยู่แต่น้อยลงไปเยอะ) โดย Notebook รุ่นใหม่ๆ ไม่มีแล้ว เพราะมีระบบ Hi Speed อินเตอร์เน็ตเข้ามา ซึ่งนิยมใช้เป็นพอร์ต LAN หรือ Wi Fi มากกว่า เพราะเร็วกว่าเยอะ โน้ตบุ๊กปัจจุบันแทบไม่มีแล้ว
Modem

Battery

เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งของ Notebook เพราะคุณจะใช้งานนอกสถานที่ได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ โดยปัจจุบัน Li-Ion ได้รับความนิยมมากสุด นอกจากจะชาร์จได้ตามต้องการแล้ว มันยังใช้งานได้นานพอสมควร ยิ่งจำนวน Cell แล mAh มากเท่าไรยิ่งสามารถใช้งานได้มากขึ้น 
Battery


ขอบคุณที่มา ของความรู้ ล้วนๆ   :notebookspec   http://notebookspec.com/web/?p=290

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Merry Christmas !!

Merry Christmas to everyone
Wishing You a Wonderful Christmas and Inspiring New Year !!

เรามาดูประวัติวันคริสต์มาส ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ กันนะคะ เผื่อว่าน้องๆ อาจบังเอิญผ่านมา

The History of Christmas

In the Western world, the birthday of Jesus Christ has been celebrated on December 25th since AD 354, replacing an earlier date of January 6th. The Christians had by then appropriated many pagan festivals and traditions of the season, that were practiced in many parts of the Middle East and Europe, as a means of stamping them out.

There were mid-winter festivals in ancient Babylon and Egypt, and Germanic fertility festivals also took place at this time. The birth of the ancient sun-god Attis in Phrygia was celebrated on December 25th, as was the birth of the Persian sun-god, Mithras. The Romans celebrated Saturnalia, a festival dedicated to Saturn, the god of peace and plenty, that ran from the 17th to 24th of December. Public gathering places were decorated with flowers, gifts and candles were exchanged and the population, slaves and masters alike, celebrated the occasion with great enthusiasm.

In Scandinavia, a period of festivities known as Yule contributed another impetus to celebration, as opposed to spirituality. As Winter ended the growing season, the opportunity of enjoying the Summer's bounty encouraged much feasting and merriment.

The Celtic culture of the British Isles revered all green plants, but particularly mistletoe and holly. These were important symbols of fertility and were used for decorating their homes and altars.

New Christmas customs appeared in the Middle Ages. The most prominent contribution was the carol, which by the 14th century had become associated with the religious observance of the birth of Christ.

In Italy, a tradition developed for re-enacting the birth of Christ and the construction of scenes of the nativity. This is said to have been introduced by Saint Francis as part of his efforts to bring spiritual knowledge to the laity.

Saints Days have also contributed to our Christmas celebrations. A prominent figure in today's Christmas is Saint Nicholas who for centuries has been honored on December 6th. He was one of the forerunners of Santa Claus.

Another popular ritual was the burning of the Yule Log, which is strongly embedded in the pagan worship of vegetation and fire, as well as being associated with magical and spiritual powers.

Celebrating Christmas has been controversial since its inception. Since numerous festivities found their roots in pagan practices, they were greatly frowned upon by conservatives within the Church. The feasting, gift-giving and frequent excesses presented a drastic contrast with the simplicity of the Nativity, and many people throughout the centuries and into the present, condemn such practices as being contrary to the true spirit of Christmas.

ที่มา : http://www.geocities.com/christmasthai/christmas.html#section5

ทีนี้ ดูเวอร์ชั่น ภาษาไทยกันบ้างดีก่าาา มะต้องแปล ให้ปวดหมอง อิอิ..
 
ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดย พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้ง อาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริย เทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม


องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาส ไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง


 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปัง เพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลาก สีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส


 ต้นฮอลลี่



          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาว ทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์




 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia

          ตำนาน ของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose
          มี ต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาว น่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง



 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส
          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป



 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว



 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย


         พวง มาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวง กลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้


 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข


 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


 ของขวัญวันคริสต์มาส

                    
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์

ขอบคุณที่มา เวบ kapook.com