วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เค้กอร่อยๆที่มองบลังค์ เชียงใหม่

Mont Blanc Patisserie มองบลังค์ พาตีสเซอรี่ซ์

มีโอกาสไปแวะเวียนชิมเค้ก ของที่นี่มาแล้ว อร่อยมาก แต่แอบบ่น แพงไปนิดนึงค่ะ อิอิ ก้ ของมันอร่อย รสชาดดี ก้เป็นธรรมดา ที่ราคาจะอัพ ตาม ยิ่งเป็นสูตรของเมืองนอกซะด้วย หรูไปใหญ่ เหอๆๆ
ร้านก้ออกแบบได้หรู น่ารัก หาง่ายสุกก้คงจะเป็นที่โรบินสัน แอร์พอร์ตพลาซ่าค่ะ เราไปกินมาแล้ว อร่อยดี เลยอยากบอกต่อ ไม่ได้เชียร์นะคะ ละก้ไม่ได้ตังค์ค่าโคนาด้วยจร้าา แค่อยากแนะนำ หากว่าวันไหนรู้สึกอยากจะเพิ่ม ไขมันให้กับตัวเอง อิอิ..

Mont Blanc Patisserie มองบลังค์ พาตีสเซอรี่ซ์
เจ้าของร้านไปเรียนทำขนมไกลถึงญี่ปุ่นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ขนมของที่นี่จะมีหน้าตาสีสันน่ากิน ทั้งวิธีการทำและรสชาติเป็นสไตล์ญี่ปุ่น นอกจากเบเกอรี่แล้วยังมีไอศกรีมโฮมเมดให้เลือกอีกหลายรส รวมทั้งกาแฟและเครื่องดื่มอีกหลายชนิด ในบรรยากาศร้านที่นั่งสบายๆ จึงทำให้ขายดีจนขยายสาขาอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่นาน รู้อย่างนี้แล้วถ้าใครมีโอกาสไปเชียงใหม่ต้องแวะไป ใครอยากซื้อเค้กหรือคุกกี้เป็นของฝากละก้อเค้ามีบริการใส่กล่องน่ารักๆ ด้วยนะ อยู่ปากซอยนิมมานเหมินทร์ ซอย 7
เค้กมองบลังค์
เค้กมองบลังค์
มองบลังค์ เป็นร้านเค้กที่จัดร้านได้สวยเป็นอันดับต้นๆ ของเชียงใหม่ บรรยากาศและการตกแต่งลงตัวมากๆ มีโต๊ะให้เลือกนั่งทั้งในร้าน และนอกร้าน เมนูเด่นก็คือ เค้กมองบลังค์ตามชื่อร้าน ซึ่งหน้าตาจะเหมือนภูเขาย่อมๆ แต่น่ากินสุดๆ
เมนูเด่นที่ไม่ควรพลาด
เมนูเด่นที่ไม่ควรพลาดน่ากินสุดๆ
Don’t Miss! :
>ชูครีมวนิลา มองบลังค์
>สตรอเบอรี่ชอทเค้ก
>ดาร์คชอคโกแลตกานาชเค้ก
>แบล็คฟรอเรสเค้ก ทีรามิสุ ฯลฯ
ร้าน Mont Blanc Patisserie มองบลังค์ พาตีสเซอรี่ซ์ มี 3 สาขา
ร้าน Mont Blanc Patisserie มองบลังค์ พาตีสเซอรี่ซ์ มี 3 สาขา
ร้าน Mont Blanc Patisserie มองบลังค์ พาตีสเซอรี่ซ์ มี 3 สาขา
  • สาขา 1 สาขานิมมานเหมินทร์ ติดถนนนิมมานเหมินทร์ ปากซอย 7 โทร 053-210-776
  • สาขา 2 สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ชั้น 3 ติดบันไดเลื่อนขาลง ฝั่งโรบินสัน โทร 053-280-662
  • สาขา 3 สาขานิมมานเหมินทร์ ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 2 โทร 053-279-078
วันเวลาเปิดบริการ: ทุกววัน 08.30-22.00 น.
ข้อมูลร้านเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://www.montblanc-cm.com

4 เรื่องที่ต้องระวังก่อนเดินทาง

ทุกวันนี้ด้วยความที่ คนมากขึ้นบนถนนที่การจราจรวุ่นวาย จึงไม่แปลกที่เราจะพบเห็นเรื่องแปลกๆ บนท้องถนน แต่เหล่าเรื่องที่ว่าแปลกนี้บางครั้งก็อันตราย เพราะหลายครั้งความสะเพร่านี่เองที่ทำให้เป็นต้นตออุบัติเหตุ ที่ทำให้เกิด ความเดือดร้อน ทั้งต่อตนเองและเพื่อนร่วมทาง
หลากเรื่องอันตรายที่เกิดขึ้น บนถนนนั้นบางครั้งก็ต้องยอมรับว่ามาด้วยเหตุจากที่เราไม่สังเกต และเมื่อความไม่รู้บวกกับความสะเพร่า บางครั้งก็ทำเอาคนอื่นหวาดเสียว ที่วันนี้เรามี 4 เรื่องที่ขอมาตอกย้ำเพื่อนๆ ที่ใช้รถกันว่า อะไรบ้างที่ห้ามลืมก่อนการออกรถ
1.ประตูต่างๆ นี่ เป็นเรื่องที่เราเจอสดๆ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านกับรถที่ประตูปิดไม่สนิท ซึ่งความจริงแล้วดูเหมือนว่าจะไม่อันตราย ทว่าในต่างประเทศก็เคยมีอุบติเหตุร้ายแรงมาแล้วจากความสะเพร่าในเรื่องของ การปิดประตูไม่สนิท
การปิดประตูไม่สนิทนั้นฟังดู อาจจะไม่อันตรายแต่ เมื่อประตูไม่ได้ถูกลงล็อกอย่างถูกต้อง โอกาสที่มันจะเปิดออกเองได้ก็มีมาก และเรื่องนี้สามารถป้องกันได้ เพียงสังเกตจากจากเสียงรบกวนที่เข้ามาสู่ห้องโดยสาร และปัจจุบันรถหลายรุ่นมีตัว door indicator ที่ช่วยบอกว่าประตูปิดครบทุกบานหรือไม่
2.ฝากระโปรงท้าย อัน นี้เจอบ่อยเหมือนกันแต่ไม่อันตรายเท่าประตู ทว่าถ้าคุณไม่อยากไปถึงที่แล้วพบว่า OMG!!! ของที่นำมาวางไว้ที่ฝาท้ายหายไป ก็ควรต้องเช็คให้ดี อันตรายของการปิดฝาท้ายไม่สนิทนั้นไม่เคยได้ยินข่าวแต่ เอาเป็นว่าตรวจให้ดีละกันถ้าไม่อยากเสียทรัพย์
3.ยางรถยนต์ ยาง ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญที่ควรตรวจเช็คก่อนออกเดินทาง ไม่ว่าใกล้หรือไกล เพราะทั้งหมดของรถสุดท้ายยางคือตัวเกาะถนน ดังนั้นหากเมื่อไรที่พบเห็นว่ายางของคุณรั่ว แบน หรือ ลมอ่อน อย่าวางใจเดินทางให้นำไปตรวจสอบก่อน เพราะสภาพที่ไม่สมบูรณ์ของยางนั้นสามารถเป็นต้นตอของอุบัติเหตุได้
4.ค่าผิดปกติบนหน้าปัด เชื่อ หรือไม่ครับว่าหน้าปัดบอกอะไรได้มากกว่าที่เราคิด และหลายครั้งที่อาการผิดปกติสามารถตรวจสอบได้ที่นี่ โดยเฉพาะ ไฟเตือนที่เรียกว่า Malfunction light หากไฟนี้ติดขึ้น คือความผิดปกติของระบบเครื่องยนต์ ซึ่งแน่นอนมันอาจจะไม่อันตรายมากนัก แต่ถ้าพบไฟนี้เมื่อไรก็ควรรีบไปตรวจสอบครับว่ารถของคุณมีความผิดปกติอะไร ก่อนเสียเงินมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะความที่คุณไม่ได้ดูแลรถ
ทั้งข้อ นี้บางเรื่องก้ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้โดยสารในรถ ทว่าแค่เพียงคุณสอดส่องดูแลรายละเอียดเล็ๆน้อยๆก่อนออกรถ เท่านี้ก็ช่วยให้มันใจได้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไกล
ที่มา http://www.zabzaa.com

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปรอทวัดไข้ กับ แหวนทองคำ : Mercury and gold

 
วันนี้ตื่นเช้ามาต้องพบกับความงุนงง ปน ประหลาดใจอย่างมากๆ ไม่เคยพบเจอมาก่อนตั้งแต่เกิดมาจนอายุปานนี้ หุหุ คือ แหวนทอง(ที่มีเพชรเม็ดขี้ปะติ๋วอยู่บนหัว นี้สนึง)ที่เคยใส่อยู่ติดกับนิ้วกลางเป็นประจำ มันกลายเป็นสีขาวทั้งวงเลย ซึ่งคิดว่ามันแปลกมาก นึกไม่ออกว่ามันเป็นไปได้ยังไง เลยงงกับตัวเองอยู่สักพัก ก็เริ่มคิด ทบทวนว่าตั้งแต่เมื่อวานก่อนนอน เราทำอะไรไปบ้าง จนกระทั่งถึงเช้า ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีอยู่เหตุการณ์นึง หลักๆ เลย คือ เมื่อตอนเย็นมีคนที่บ้านเป็นไข้ตัวร้อนมาก ก็ไปหยิบ ปรอทวัดไข้ ขึ้นมาแล้ววัดไข้ดู เสร็จแล้วก้เก็บไว้แต่ปรากฎว่า ทำอีท่าไหนไม่รู้ ทำมันตกแตก กระเด็นกระดอนไปคนละทิศทาง แต่เราเห็นตัวปรอทอ่ะ กลิ้งไหลไปมา ก็เลยพยายามจะหยิบ จับขึ้นมาดู แต่ก็หยิบไม่ได้ เราก็เลยใช้ประดาษช้อนขึ้นมา แล้วเอามาห่อ รวมกันพับเก็บไว้ พอจังหวะที่หยิบพับนั้นปรากฎว่า เจ้า ปรอทมันไหลลื่น กลิ้งวิ่งมาจับที่แหวนนิ้วกลางเพราะมันอยู่ในอุ้งมือพอดี เราก้งง เออ มันหายไปไหนหว่าา เพราะมันกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับแหวนเลย แต่ว่าตอนนั้นสีมันยังไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ ก้เลยไม่สนใจอะไร เข้านอน...แต่พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เห็น ก็ได้สร้างความงุนงง อย่างที่บอก แหะๆ เลยคิดว่าน่าจะเป็นที่มา ของเจ้าแหวนทองกลายเป็นเงิน เราเลยมาเสริซ ในเวบอากู๋รู้ทุกอย่าง ก็เจอคำตอบจังๆ ....มาดูกันค่ะว่าเจ้าสารปรอท มีบทบาทในชีวิตประจำวันเราอย่างไร

ข้อมูลน่ารู้(สามารถอ่านเพิ่มเติม)ได้จากวิกิพีเดีย
ปรอท (อังกฤษ: Mercury; ละติน: Hydragyrum) เป็นโลหะหนักสามารถหาปรอทได้จากหินที่ขุดพบในเหมือง โดยการนำหินนั้นมาทำให้ร้อนด้วยอุณหภูมิ 357 องศาเซลเซียส ปรอทเป็นสารที่มีความหนาแน่นสูง ถึงขั้นที่ก้อนตะกั่วหรือเหล็กสามารถลอยอยู่ได้ ถึงแม้ปรอทจะมีลักษณะคล้ายตะกั่วและเป็นของเหลว แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่าตะกั่ว (มวลอะตอม 200.59) และถึงแม้ปรอทจะเป็นโลหะ แต่ก็ไม่ดึงดูดกับแม่เหล็ก เราสามารถนำปรอทมาใช้ในอุตสาหกรรมหลายๆ ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องวัดอุณหภูมิและความดัน การย้อมสี การผลิตเยื่อกระดาษ พลาสติก เภสัชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการถ่ายรูป อุปกรณ์ไฟฟ้า สารฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อ. นอกจากนี้ เนื่องจากว่าปรอทมีจุดเดือดไม่สูงนัก จึงได้มีการทดลองนำ เมอคิวริคออกไซด์ มาผลิดเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์อีกด้วย..

จากเวบร้านทอง...
ธาตุ ปรอท เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ได้มีการบันทึกไว้ว่าอารีสโตเติล (Aristotle) รู้จักปรอทเมื่อ 1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปรอทมีชื่อภาษาอังกฤษว่า mercury แต่มีสัญญลักษณ์ Hg ซึ่งตั้งขึ้นโดย Berzelius มาจากคำลาติน hydrargyrum ซึ่งมีความหมายว่าเงินเหลว (liquid silver) เพราะลักษณะภายนอกเหมือนโลหะเงิน แต่สามารถไหลหรือกลิ้งไปมาได้ทำนองเดียวกับของเหลว ต่อมาได้มีการเรียกว่า "quicksilver" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเช่นกัน คนโบราณรู้จักนำปรอทไปชุบหรือเคลือบผิวโลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดง ทองคำ ในสมัยกลางนักเล่นแร่แปรธาตุ (alchemist) ได้พยายามหาวิธีเปลี่ยนปรอทให้เป็นทองคำ (ในตารางธาตุ ทองเป็นธาตุลำดับที่ 79 ส่วนปรอท เป็นธาตุลำดับที่ 80 ติดกันเลย)

ปรอท ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการทำเหมืองเลยทีเดียว โดยใช้ปรอทในการเอาทองออกมาจากแร่ที่มีทองอยู่ ปรอทจะเปลี่ยนเป็นอะมัลกัม (amalgam) รวมกับทอง (มีความคล้ายคลึงกับอะมัลกัมที่มีปรอทและเงินผสมอยู่ที่ใช้อุดฟัน) เพื่อจะแยกเอาทองออกจากส่วนประกอบอื่นๆ เช่นหินและดิน จากนั้นทองก็จะถูกเอาออกมาจากอะมัลกัมโดยการต้มเพื่อแยกปรอทออกมา ปรอทจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยทำภายในตู้ที่ปิดอย่างดี

งาน เครื่องถมทองของไทย ก็ใช้ปรอทในการลงถมเช่นกัน โดยรีดทองคำบริสุทธิ์ให้เป็นแผ่นบาง ตัดเป็นฝอยเล็ก ๆ และบดจนเป็นผง ผสมกับปรอท กวนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เรียกว่า "ทองเปียก" แล้วนำวัตถุที่จะแตะทองมาทำความสะอาดให้หมดความเค็ม ด้วยน้ำส้มมะขามหรือน้ำมะนาว เช็ดทำความสะอาดแล้ว ตะทองบริเวณลวดลายที่ต้องการตกแต่ง เมื่อถูกความร้อนปรอทจะระเหย เหลือแต่ทองคำที่แตะแต่งไว้ตามลาย ต้องทำซ้ำกันเช่นนี้หลายครั้ง จนได้ความหนาตามต้องการ


งาน กะไหล่ หมายถึง เคลือบภาชนะและของใช้ต่าง ๆ ด้วยทองหรือเงิน ด้วยวิธีการใช้ปรอททา ทำให้ร้อนแล้วจึงปิดแผ่นทองหรือแผ่นเงิน กะไหล่ เป็นคำที่มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า kalayi. ปัจจุบันช่างทำเครื่องใช้ที่เป็นเงินเป็นทองมักใช้วิธีชุบแทนกะไหล่ เพราะทำได้เร็วกว่าถูกกว่า แต่การชุบนั้นทองจะเคลือบผิวบางมาก ผิวทองจึงไม่ติดทนเท่ากะไหล่. คำว่า กะไหล่ บางคนเรียกว่า กาไหล่ หรือ ก้าไหล่ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ใช้ว่า กะไหล่ แต่ก็เก็บคำว่า กาไหล่ ไว้ด้วย) วิธีการทำก็คล้ายวิธีการทำทองเปียกโดยใช้ปรอทเช่นเดียวกัน แต่ใช้วิธีการชุบ แทนการทา 

การเคี่ยวทองรวมกับปรอท ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่นำผงทองลงไปคน อาจใช้ไฟอ่อนช่วย ก็สามารถทำให้ทองรวมตัวกับปรอทได้แล้ว เช่นนี้เอง ปรอทจึงถูกนำมาใช้ในขั้นตอนการทำทองตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะการรวมตัวกันที่ง่าย ดังนั้น เมื่อทองรูปพรรณที่เราสวมใส่ ไปถูกกับสารที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่มีส่วนประกอบของสารปรอท เราจึงพบทองกลายเป็นสีขาว กลายเป็นที่มาของความเข้าใจผิดนั่นเอง

มาดูกันว่า ชีวิตประจำวันเราเจออะไรบ้างที่มีสารปรอท สำหรับร้านทองเอง มักเจอมากที่สุดคือพวกพยาบาลกับร้านทำฟัน


ร้าน ทำฟันนั้น ตัวหลักที่ถูกใช้งานทุกวัน และมีส่วนผสมของปรอทอย่างมากคือ อะมัลกัม (amalgam) ที่ใช้อุดฟันนั่นเอง โดยมีส่วนผสมประมาณ ถึง 50% ที่เหลือคือ โลหะเงินเป็นหลัก ตามด้วย ตะกั่ว ทองแดง สังกะสี ตามแต่สูตรของผู้ผลิตจะคิดค้นกันมา
เมื่อทองที่สวมใส่ไปทำฟันด้วย( ไม่รู้ว่าจะใส่ไปทำไม) โดนน้ำกรอฟันที่อุด ซึ่งวัสดุอุดฟันหรือ อะมัลกัม นั่นเอง กระเด็นใส่ ปรอทที่ปนเปื้อนมากับน้ำกรอฟัน ก็เหมือนพบเนื้อคู่ โดดเข้าจับติดหนับไม่ปล่อย เห็นเป็นดวงๆ ตามรอยที่กระเด็นมา

ยา รักษาฝ้าบางชนิด ที่ทำให้หน้าขาววอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาที่โฆษณาว่าทำให้หายได้ทันที มักมีส่วนผสมของสารปรอท ซึ่งสามารถใช้ได้ผลจริง แต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิวหนัง และในร่างกายได้ สำหรับผมเอง ยังไม่เคยเจอกรณีทองโดนยารักษาฝ้าครับ แต่คิดว่า ถ้าโดนก็คงเป็นเรื่องเช่นกัน

ยาแดง หรือ เมอร์คิวโรโครม (mercurochrome) ถือเป็นยาสามัญคู่บ้านมาช้านาน ปัจจุบันลดความนิยมลง หันมาใช้ตัวอื่นที่ได้ผลเช่นกันแต่ไม่แสบ ไม่เป็นอันตรายเท่า เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน (เบทาดีน)
ยาแดง ใช้ทาพวกแผลสดที่เป็นถลอกตื้นๆไม่ลึก เพราะว่ามันจะทำให้เกิดสะเก็ดแผลแห้งเร็วคลุมแผลไว้ไม่ให้เชื้อโรคเข้าแผล ไม่ควรทาลงบนแผลโดยตรง เพราะกลายเป็นแผลจะหายยากและอาจเป็นอันตรายจากสารปรอทแทน
ยาแดงใช้สาร ปรอทเป็นหลัก ซึ่งมีผลในการฆ่าเชื้อโรคเป็นอย่างดี ถ้าใครเคยสังเกต หลังการทายาแดง จะเห็นว่า มีเงาสะท้อนให้เห็นชัดเจนเพราะมีโลหะหนักเช่นปรอท เป็นส่วนประกอบในอัตราค่อนข้างสูงนั่นเอง


read more  http://goldjewelrydiamondfortip.blogspot.com/2009/08/gold_17.html

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Hot Hot ทักษิณ In Japan

ภาพชุดข่าวร้อนๆ จากญี่ปุ่น ที่ให้การต้อนรับ ทักษิณ ชินวัตร คนที่ คนไทยส่วนหนึ่งขับไสไล่ส่ง เห็นแล้วก็รู้สึกอยากแชร์ให้ได้อ่านกันทั่วหน้า  

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยยิ้มระหว่างตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศในโตเกียว โดยชี้ว่าเขาอยากนำประสบการณ์แก้พิบัติภัยสึมามิในประเทศไทยมาสนับสนุนแก่ญี่ปุ่น กับตอบคำถามเรื่องช่างภาพผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตระหว่างเหตุรุนแรงทางการเมืองในไทยเมื่อปีกลายด้วย โดยชี้ว่า ต้องเข้าสู่กระบวนการค้นหาความจริง (ภาพ:AP)


พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร พบ มร. ชินโสะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น


ภารกิจของนายกรัฐมนตรีที่คนไทยบางส่วนไม่ต้องการ แต่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นอ้าแขนรับ
พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการต้อนรับจากสตรีญี่ปุ่นรายหนึ่งระหว่างเดินทางมาถึงสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในโตเกียว(ภาพ:AP)

กำหนดการภารกิจเฉพาะวัน 24 สิงหาคม ช่วงเช้า
9.00 - 9.45 รับประทานอาหารเช้าร่วมกับสมาชิกพรรค DPJ
10.00 - 10.45 ให้สัมภาษณ์สื่อ asahi shimbun
11.00 - 11.45 ให้สัมภาษณ์สื่อ NHK 

ช่วงบ่าย

12.00 - 14.00 ร่วมรับประธานอาหารกับอดีต รมต. และทีมผู้บริหาร บ ชื่อดัง
14.00 - 14.30 ประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยทามะ
14.30 - 15.30 ประชุมร่วมกับอดีตผู้ว่าเมืองโออิตะ แะสื่อท้องถิ่น
...15.30 - 16.00 เข้าฟังรายงานพิเศษเรื่อง "หัวใจของญี่ปุ่น" จากทีมผู้เชี่ยวชาญ
16.00 - 16.30 สำรวจพื้นที่ประสบภัยสินามิ
17.00 - 18.30 ประชุมร่วมผู้แทนพรรค JFC
18.30 - 21.00 งานเลี้ยงต้อนรับ จัดขึ้นโดย วุฒิสภา ฮาจิเมะ อิชิ แห่งพรรค DPJ






ทักษิณ ระบุ ช่างภาพญี่ปุ่นตาย ต้องหาความจริง !!!


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า เรื่องการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่ผ่านมานั้น ทุกคนที่มีส่วนสั่งการต้องรับผิดชอบ ส่วนกรณีช่างภาพชาวญี่ปุ่น ที่เสียชีวิต ต้องเข้าสู่กระบวนการค้นหาความจริง ซึ่งมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะเดินหน้าต่อ(ภาพ:AP)

ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร TIME
สรุปเนื้อหาการตอบคำถามของ พ.ต.ท. ทักษณ์ ชินวัตร 

ด้านการเมือง

พ.ต.ท. ทักษิณ ระบุว่า ศาลของไทยต้องทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ขอยกตัวอย่างกรณีที่ตนโดนโจมตีด้วยกฏหมาย “หมิ่น” ทั้งที่ตนไม่ได้ทำอะไร ซึ่งตนมองว่าการโจมตีในเรื่องนี้ ก็เพื่อบังคับให้ทหารออกมาแสดงบทบาท นำมาซึ่งการทำลายล้างตนในที่สุด

กับ ราชวงศ์ไทยนั้น เป็นที่รักของประชาชนทุกคน นี่ผ่านมา 5 ปีแล้ว ผมก็ยังรักพระราชวงศ์เหมือนเดิม ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา ตนไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ให้คำตอบ ทั้งในเรื่องของ คนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และ นักข่าวญี่ปุ่น ซึ่งในส่วนนี้ จะผลักดันรัฐบาลให้ทำหน้าที่หาข้อเท็จจริงให้เร้วที่สุด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะกลับประเทศเลยหรือไม่ เพราะ พท.ชนะแล้ว อดีตนายกฯ ระบุว่า จะไม่กลับแน่นอน ถ้าหากว่ากลับมาแล้ว กลายเป้นชนวนความขัดแย้ง

นอกจากนั้นยังย้ำว่าประเทศไทยต้องมีสี่เสาหลักซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญคือ

1. ประชาธิปไตย
2. เสรีภาพในการพูดและแสดงออก
3. หลักนิติธรรม 
ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดข้อ 4 การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

นอก จากนั้น ยังได้กล่าวถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีว่า เป็นเหมือนบุตรคนหนึ่ง บทบาทของตนกับการทำงานของน้องสาวนั้น ตนเป็นได้แค่ Encycopedia คอยให้คำปรึกษา แต่ส่วนใหญ่แล้ว น้องสาวจะทำเองได้หมด ไม่ต้องพึ่งใคร

ส่วนประเด็นการขอ Visa เข้าญี่ปุ่น ตนมองว่า เพราะชาติอื่นเข้าใจสถานการณ์ประเทศไทย มากยิ่งขึ้น

พบสนทนาผู้บริหารและสมาชิกพรรคDPJ


ให้สัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่NHK
พ.ต.ท. ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ มร. นิมูระ ผู้สื่อข่าว NHK ภาคภาษาอังกฤษ


มื้อกลางวันกับนักการเมืองนักบริหารยักษ์ใหญ่
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ร่วมรับประทานอาหารกับอดีตรัฐมนตรี และกลุ่มผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ ในญี่ปุ่น เช่น มร. ชิโอกาว่า อดีต รมต. การเงิน, มร. ยานากิซาว่า อดีต รมต. สาธารณสุข, มร. วาตานาเบะ ประธานบริษัท เจแปน ปิโตรเลี่ยม, มร. โมกิ ผู้บริหาร บริษัท คิโคมัน

หารือที่ มหาวิทยาลัยทามะ

หารือกับ ดร.คุมอง ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัยทามะ

แนะนำญี่ปุ่นช่วยผู้ประสบภัยซึนามิ
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้สนทนาและให้คำแนะนำ มร. ฮิรามัตซึ อดีตผู้ว่าเมืองโออิตะ เกี่ยวกับการเยียวยาผู้ประสบภัยสินามิ เพราะไทยเคยประสบภัยพิบัตินี้เมื่อปี2546 และแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความสนใจของสื่อท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ เมืองโออิตะเป็นอีกเมืองหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิครั้งใหญ่ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

โอ ท่อป มีความหวัง !!! 
ต่อมา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้หารือกับ มร. ฮิรามัตซึ ผู้ว่าเมืองโออิตะ เรื่องการไปพัฒนาโอท่อปไทย ทั้งนี้ เมืองโออิตะ ถือเป็นเมืองต้นแบบโอท่อปของประเทศญี่ปุ่น

มื้อค้ำกับสว.-สส.ญี่ปุ่น
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับ ส.ส., ส.ว. ญี่ปุ่น รวมทั้งรักษาการหัวหน้าพรรคDPJ

บรรยายพิเศษ เรื่องการทำธุรกิจ ในยุคโลกาภิวัตน์ โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

ต่อที่ประชุมเรื่อง Talking Point Special Lecture At Gakushi Kaikan
Organized by ASEAN -China-Japan Economic & Culture Association

ต้อง ขอขอบคุณสำหรับคำเชิญ ผมรู้สึกยินดีมากที่ได้เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจะเป็นการเดินทางอย่างเป็นทางการ หรือการเดินทางส่วนตัว

ก่อนอื่นผมขอแสดงความเสียใจสำหรับทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสึนามิที่เกิดขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น

อาจ จะเป็นการกล่าวอย่างซ้ำซาก ถ้าจะกล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นและไทยนั้นมีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันโดยที่ผมไม่ต้องกล่าว ถึงรายละเอียดในที่นี้ ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นและไทยที่ได้มีการเจรจากันมาตั้งแต่สมัย รัฐบาลของผมในช่วงปี 2548-2549 เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นหุ้นส่วนพิเศษที่ยังคงอยู่ระหว่างสองประเทศ

ผม รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งกับผลของความร่วมมือระหว่างเราภายใต้โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ผมมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งจะยังคงร่วมมือกับประเทศ ญี่ปุ่นต่อไปเพื่อให้โครงการดังกล่าวเป็นต้นแบบของ “การบ่มเพาะเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” ซึ่งความสำเร็จอย่างสูงของโครงการนี้จะส่งผลต่อเนื่องไปยังส่วนอื่นๆ ที่นำไปสู่การพัฒนาเชิงคุณภาพและความหลากหลาย

ทั้งประเทศ ญี่ปุ่นและไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน แม้ว่าสถานการณ์จะต่างกัน แต่ในการก้าวข้ามจุดผ่านนั้นย่อมจะต้องสร้างผลกระทบให้กับประชาชนและหน่วย งานต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัญหาเศรษฐกิจในตะวันตกที่ เกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ปรากฎออกมาให้เห็นนั้น ปัญหาพื้นฐานของประเทศเหล่านั้นก็คือ ไม่สามารถที่จะ “บ่มเพาะความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเราในที่สุด ปัญหาของตะวันตกจะเป็นแรงกดดันให้เราต้องมาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับ ตะวันตก และระหว่างเรากันเอง

ผมเชื่อมั่นว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะสามารถก้าวผ่านไปได้ ทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ การแข่งขันกับประเทศเกาหลีและจีนที่รุนแรงมากขึ้นในขณะที่ตลาดยุโรปและสหรัฐ อเมริกาอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในด้านของกำลังซื้อ แม้ว่าเอเชียจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ทว่ากำลังซื้อต่อหัวของประชากรยังไม่อาจ เทียบเท่าผู้บริโภคในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา

ประเทศญี่ปุ่นจะ สามารถฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศในแง่ของการบริโภคและการจ้างงานภายใต้ สถานการณ์การเปลี่ยนผ่านที่เข้าใจได้ยากของโลกเช่นนี้ได้หรือไม่ ผมไม่มีคำตอบ แต่อยากจะได้ยินทางออกที่เป็นไปได้จากท่านสุภาพบุรุษและสุภาพทั้งหลายที่ อยู่ในที่นี้

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่จุดผ่านเช่นกัน ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่จะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงถึงสอง ด้าน ในขณะที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกพร้อมกับความผันผวนของค่าเงิน ที่เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ ( ผมยังไม่ได้นับความผันผวนแหล่งพลังงานหลักในแอฟริกาตอนเหนือ) แต่นั่นคือความจริง

ผมรู้สึกเหมือนพวกคุณบางกลุ่มที่เป็น เพื่อนกับประเทศไทย ว่าคนไทยนั้นได้เสียโอกาสในการปรับเปลี่ยนเศรษฐิกจของเราเองไปถึง 6 ปี ในระหว่าง 6 ปีแห่งความไม่แน่นอนนั้น เราได้รับคำร้องเรียนจากนักลงทุนและภาครัฐจากต่างประเทศถึงความไม่แน่นอนใน การตัดสินใจของรัฐบาลไทย แต่ทว่าพวกคุณส่วนใหญ่ก็ยังคงลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผมจึงขอขอบคุณพวกคุณสำหรับวิสัยทัศน์ระยะยาวในประเทศไทย

ประเทศ ไทยได้ผ่านพ้นช่วงของการบริหารประเทศที่ปราศจากกระบวนการตัดสินใจอย่างที่ ควรจะเป็นมาแล้ว ในระยะ 6 ปีที่ผ่านมานั้นสิ่งที่สร้างความปั่นป่วนมากยิ่งขึ้นไปก็คือ การขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ความตรงไปตรงมาในแง่ของความชัดเจนของหลักนิติธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่คนไทย แต่ยังเกิดขึ้นในกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ เราต้องไม่ยอมให้สถานการณ์เช่นนี้ยังคงอยู่ต่อไป

ดังนั้น การเกิดขึ้นใหม่ของประชาธิปไตย และการบรรลุวุฒิภาวะของหลักนิติธรรมในประเทศไทย เป็นสองสิ่งที่จำเป็นสำหรับความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในอนาคต ภายใต้กระบวนการปรองดอง ผมหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถกลายเป็นหุ้นส่วนที่คุ้มค่ากับประเทศญี่ปุ่น ในอนาคตอันใกล้

ในแง่ของเศรษฐกิจ แม้ว่าจะยังคงมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของ ประเทศมากนัก และในความจริงการส่งออกของไทยเติบโตได้ค่อนข้างดี ซึ่งต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเหตุผลสำคัญมาจากความสามารถในการบริหารจัดการ ของผู้ผลิตและผู้ส่งออก และต้องยอมรับว่ากลุ่มที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลชุดก่อนไม่ได้สร้าง อุปสรรคกีดขวางอุตสาหกรรมการส่งออกของไทย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ ปัญหาพื้นฐานเช่นเดียวกับญี่ปุ่น และประเทศสมาชิกอาเซียน ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศนั้นพึ่งพาการส่งออก เราจึงเผชิญกับปัญหาเดียวกันว่าจะ “บ่มเพาะเศรษฐกิจในประเทศ” ได้อย่างไร แน่นอนว่ามีความแตกต่างค่อนข้างมากระหว่างประเทศญี่ปุ่นและอาเซียนในด้าน คุณภาพขององค์ประกอบการผลิตอย่างเช่น ระดับของเทคโนโลยี และทักษะเฉพาะทาง อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทยนั้นเราจำเป็นต้องทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีสัด ส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเพิ่มมากขึ้น การทำเช่นนั้นเราต้องมีการยกระดับองค์ประกอบของการผลิตในทุกด้านสำหรับการ ผลิตและการบริโภคภายในประเทศ ประเทศไทยนั้นโชคดีอย่างน่าประหลาด เพราะเทคโนโลยีการผลิตสำหรับการบริโภคในประเทศยังต้องการการยกระดับอีกมาก เราจึงต้องสร้างแรงจูงใจของภาครัฐเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ

แม้ ว่าการส่งออกในเวลานี้จะไปได้ดี และเรามีการจ้างงานเต็มกำลัง แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะถ้าหากพิจารณาให้ลึกลงไปในรายละเอียดมากขึ้นจะพบว่า ธุรกิจจำนวนมากในประเทศไทยกำลังจ่ายค่าแรงขั้นต่ำในระดับที่ไม่สอดคล้องกับ ค่าครองชีพ นั่นหมายความว่าอำนาจในการกำหนดราคาของธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับระดับค่าแรง เท่านั้น ธุรกิจบางกลุ่มจึงมีกำไรน้อยมากซึ่งถ้าหากมีการถอนการอุดหนุนด้านพลังงานของ รัฐบาลออก ธุรกิจเหล่านั้นก็จะอยู่ไม่ได้ (อย่างกรณีโรงงานเซรามิกในลำปาง) เมื่อปราศจากเส้นทางที่โรยกลีบกุหลาบสำหรับการส่งออกในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เราจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง วัตถุประสงค์ของเรานั้นควรจะมุ่งไปที่การรักษาสถานะการส่งออกให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แต่ต้องบ่มเพาะเศรษฐกิจในประเทศอย่างเร่งด่วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจึงต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง “การจ้างงานที่ก่อให้เกิดรายได้ที่สามารถดำรงอยู่ได้”

ภาค ชนบทของไทยนั้นไม่ใช่กลุ่มคนยากจนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “เกษตรกรที่มีรายได้ระดับกลาง” ที่จบการศึกษาระดับพื้นฐาน 100% และมีโทรศัพท์มือถือใช้งานมากกว่า 50% และมีความรู้ที่ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมีความน่าเชื่อถือที่จะมารับใช้ประเทศและผลประโยชน์ในระยะยาวของพวกเขา

ความ บอบช้ำจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิได้สร้างโศกนาฏกรรมแก่มนุษยชาติอย่าง เหลือคณานับรวมถึงการทำลายล้าง ประเทศไทยคงจะไม่มีคุณค่าในฐานะมิตรแท้ของประเทศญี่ปุ่น ถ้าหากเราไม่คิดหาหนทางที่จะช่วยเหลือในการฟื้นฟูและก่อสร้างพื้นที่ที่เสีย หาย

ผมหวังว่า รัฐบาลชุดใหม่จะเปิดการประชุมในทุกด้านกับรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่นที่ได้รับความเสียหาย ตั้งแต่ในประเด็นของการขนย้าย โรงงานที่จำเป็น การขาดแคลนแรงงานในการก่อสร้าง การขาดแคลนอาหารที่อาจเกิดขึ้น สุขอนามัยถ้าหากจำเป็น รวมถึงความเป็นไปได้ในการออกพันธบัตรเอเชียสำหรับการก่อสร้างพื้นที่ที่เสีย หาย

ผมจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อภาคใต้ของประเทศไทยถูกกระหน่ำจากสึนามิ ประเทศญี่ปุ่นได้กรุณาให้ความช่วยเหลือกับประเทศไทยในการรับมือกับปัญหา

ความ สัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนระหว่างประเทศญี่ปุ่นและไทยต้องมองถึงความร่วมมือใน อนาคต เราต่างคาดว่าเอเชียจะเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตของโลก การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นทั้งในปัจจุบัน และอนาคตจะได้รับผลประโยชน์จากเส้นทางถนนเชื่อมโยงฝั่งตะวันออกและตะวันตก ของเอเชีย ผมหวังว่ารัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยนี้จะให้ ความสนใจเป็นพิเศษร่วมกับผู้เกี่ยวข้องรายอื่นเพื่อให้โครงการดังกล่าวนี้ ลุล่วงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะความสำเร็จของโครงการนี้ หมายถึงการจ้างงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ระบบการขนส่งที่ทันสมัยสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และเป็นเส้นทางการคมนาคมทางเลือกสำหรับประเทศพม่า ไทย กัมพูชา และเวียดนาม
 
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา เฟซบุ๊ค Thaksin in JAPAN(by Asia Update)

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จีน เปิดตำราสอน เซ๊กส์ โจ่งครึ่ม

ตำราสอนเซ็กซ์โจ่งครึ่ม !!!



เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากประเทศจีน ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง การสอนให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่อง เซ๊กส์ กันอย่างโจ่งครึ่ม เป็นเหตุให้ ผู้ปกครองบางส่วน เกิดอาการรับไม่ได้

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงาน พ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยประถมส่วนหนึ่งในประเทศจีน ออกมาตำหนิและไม่เห็นด้วยต่อ ตำราเรียนด้านเพศศึกษาของจีน ที่ใช้ภาพและคำบรรยายเกี่ยวกับเซ็กซ์อย่างโจ่งครึ่ม ซึ่งพ่อแม่เหล่านั้นรับไม่ได้และมองว่าลูกวัยเพียง 6-7 ขวบนั้นยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องพวกนี้ตรงๆ
โดยตำราดังกล่าวมี ประโยคที่นั้น บรรยายเรื่องเพศไว้อย่างชัดเจนว่า “เพื่อให้อสุจิค้นหารังไข่ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ พ่อจะสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปยังช่องคลอดของแม่ และอสุจิก็เข้าสู่ช่องคลอดของแม่”

ทั้งนี้ ตำราดังกล่าวมีชื่อว่า “ย่างก้าวของการเจริญเติบโต” (The Footsteps of Growth) เป็นตำราที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญแห่งสมาคมวิจัยการศึกษาด้านสุขภาพทางเพศ สำหรับเด็กนักเรียนอายุ 6-12 ปี แบ่งเป็น 3 ตอน คือ

1. เริ่อง”ร่างกายของฉัน” , “ฉันมาจากไหน” และ “ฉันจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร”

2. เรื่อง “ร่างกายเปลี่ยนแปลงเมื่อเป็นผู้ใหญ่” , “วิธีการในการสื่อสารกับพ่อแม่ และ”ความสวยงามของวัยหนุ่มสาว” และ”หนุ่มน้อย”

3. เรื่อง “การยอมรับตัวเอง” , “การป้องกันเอดส์” และ”เพื่อเป็นประชาชนที่แข็งแรง” ซึ่งจะเริ่มทดลองนำไปใช้สอนใน 18 โรงเรียนในช่วงภาคฤดูกาลที่กำลังจะมาถึงนี้

นางหวู อุ่ ในฐานะรองบรรณาธิการเว็บไซต์ด้านวิทยาศาสตร์ชื่อดังของจีน และมารดา วัย 33 ปี กล่าวว่า ทัศนะดังกล่าวสะท้อนมาจากครอบครัวจำนวนมากในประเทศจีนที่ไม่เคยมีการให้ความ รู้ด้านเพศศึกษาแก่เด็กมาก่อน

เธอมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดในการบรรยากาศเรื่องเซ็กส์อย่างตรงๆ แต่ประโยคในตำราดังกล่าวนั้นหยาบคายเกินไป

ผู้ จัดทำควรจะเลือกใช้คำให้นุ่มนวลและสละสลวยมากกว่านี้ ดังนั้นเนื้อหาดังกล่าวจึงไม่ผ่านการพิจารณาให้เผยแพร่ในเว็บไซต์ของเธอ แม้ว่าจะเป็นเว็บไซต์สำหรับคนวัย 20-35 ปีก็ตาม
แต่ นายเฟ็ง จี้หัว รองบรรณาธิการของเว็บไซต์”ติงเซียนหยวน” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ด้านการแพทย์และชีวศึกษา และเป็นคุณพ่อคนหนึ่ง กลับมองว่า
ตำรา ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วและจำเป็นที่จะแพร่กระจายให้วงกว้าง โดยชี้ว่า ผู้ใหญ่มองว่าตำรานี้เป็นสิ่งสกปรก แต่นักศึกษาไม่ได้มองอย่างนั้น มันเป็นมุมมองที่ต่างกัน
และเราไม่ ควรตัดสินตำรานี้จากมุมมองของเราเอง และว่า คำว่า”อวัยวะเพศ”และ”ช่องคลอด” เป็นสิ่งที่เด็กนักเรียนต้องรู้อยู่ดีไม่เร็วก็ช้ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงคำเหล่านี้ในวิชาเพศศึกษา แม้ว่าโลกของเด็กนั้นจะบริสุทธิ์ ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยสายตาของผู้ใหญ่

การ ให้ความรู้ด้านเพศศึกษาในประเทศจีน เป็นสิ่งที่ถูกต้อต้านมาตลอด โดยเฉพาะจากพ่อแม่ยุคก่อน ที่ยังคงบอกลูกว่า พวกเขาถูกเก็บมาจากข้างถนน หรือออกมาจากหิน


วงการศึกษาของไทยเราก็คงต้องออกมาพิจารณา ทบทวนเรื่องนี้กันต่อไปว่า อะไรเหมาะสมกับเยาวชนของเราหรือไม่อย่างไร  หรือควรจะเอาอย่าง พี่จีนข้างบ้านเรา อิอิ.เพราะหลากหลายความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่นไทยเดี๋ยวนี้ มันปิดกั้นยากซะเหลือเกิน..

http://news.mthai.com/

Beware! Sitting can Kill You ระวังการนั่งนาน อาจทำให้ตายได้

 
น่าเห็นใจ มนุษย์ทำงานที่ต้องนั่ง อยู่กับที่เป็นเวลานานๆ นะคะ วันก่อนก้เสนอ บทความที่โอกาสของคนที่ทำงานในอ๊อฟฟิซ จะเป็นโรค Office Syndrome  กันไปแล้ว วันนี้เป็นเรื่องอันตรายเกี่ยวกับการนั่ง นานๆ อีกแล้ว ละค่ะ

คุณรู้หรือไม่ ร่างกายเราไม่ได้ออกแบบมาเพื่อนั่ง ! ผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การนั่งนานๆ มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตถึง 40 เปอร์เซ็นต์
          ปัจจุบันวิถีชีวิต การทำงาน การดำเนินกิจกรรมระหว่างวัน ได้เปลี่ยนไป จากการที่เทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้คนเราใช้เวลาส่วนมากไปกับการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ แน่นอนว่ารวมถึงการทำงานนั่งโต๊ะ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ และส่วนมากจะนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลเสียร้ายแรงถึงขั้นทำให้ร่างกายผิดรูปได้
 
          ตามข้อมูลที่รวบรวมไว้ เราใช้เวลานั่งมากถึงวันละกว่า 9.3 ชั่วโมง ทั้งที่เวลาของการนอนส่วนมากเพียง 7.7 ชั่วโมง เราเดินหรือยืน 6.5 ชั่วโมง และน้อยกว่า 0.7 ชั่วโมง ที่เราวิ่งหรือออกกำลังกาย
          เหตุผลที่สนับสนุนว่าการนั่งเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ เพราะจากผลการวิจัยระบุว่า  ทันทีที่คุณนั่ง กิจกรรม ไฟฟ้าในกล้ามเนื้อขาหยุดทำงาน , อัตราการเผาผลาญแคลอรี่ลดลง 1 ต่อนาที , เอนไซม์ที่ช่วยทำลายไขมันลดลง 90 เปอร์เซ็นต์  หลังจาก 2 ชั่วโมง ผ่านไป คอเลสเตอรอล ดี ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ และหลังจาก 24 ชั่วโมง  ประสิทธิภาพของอินซูลิน ลดลง 24 เปอร์เซ็นต์ ความเสี่ยงของโรคเบาหวานจะเพิ่มขึ้น  ถ้าคุณชอบนั่งดูทีวี ผลการวิจัยยังพบว่า คนที่นั่งดูทีวี 3 ชั่วโมง  64 เปอร์เซ็นต์ มีแนวโน้มที่จะตายจากโรคหัวใจ และเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ ในทุกๆ ชั่วโมง คือ  นั่งดูทีวี 4 ชั่วโมง มีแนวโน้มที่จะตายจากโรคหัวใจ 75 เปอร์เซ็นต์ และนั่งดูทีวี 5 ชั่วโมง มีแนวโน้มที่จะตายจากโรคหัวใจ 86  เปอร์เซ็นต์
       
  สรุปได้ว่า  งานที่ต้องนั่งทำมีโอกาสทำให้เป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดมากกว่างานที่ต้องยืนทำถึง 2 เท่า  ถึงตอนนี้ คุณนั่งมากี่ชั่วโมงแล้วล่ะ อยากจะลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้างไหม
          คุณยังคงอ่านอยู่ไม่ยอมลุกขึ้น  เอาล่ะ ! ถ้าคุณไม่ยอมลุกขึ้น  คงต้องขอให้หยุดงานของคุณสักครู่ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ให้ได้ 135 องศา หรืออย่างน้อย ไม่ใช่การนั่งโน้มตัวไปข้างหน้า หรือนั่งหลังตรง  ถ้าคุณทำตามคำแนะนำ  หยุดพักเป็นระยะเพื่อเอนหลัง สิ่งนี้จะช่วยคุณลดความเสี่ยงได้เท่าที่คุณจะมีเวลาทำมัน

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.geekwithlaptop.com : Beware! Sitting can Kill You

Yingluck ไม่ใช่พริตตี้ ประเทศไทย


พักนี้มีแต่ข่าวด้านภาพลักษณ์ของท่านายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ล่าสุด มีกระแนะกระแหนไปโน่นเลยว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่พริตตี้ประเทศ แหะๆๆ ฟังดู ไม่รู้ว่า ผู้ตั้งฉายา คิดยังไงกันน้ออออ...

 ถ้าเป็นพริตตี้ขายบ้านคุยกับลูกค้า ก็คงไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับบ้านในเชิงลึกมากมาย... ปัญหาเรื่อง "ตอบไม่ตรงคำถาม" ก็คงไม่ก็คงไม่มี

ถ้าเป็นผู้บริหารบริษัทคุยกับสื่อที่รับจ้างโฆษณา ก็คงไม่ต้องตอบคำถามที่ไม่ได้สั่งให้มาถาม... ปัญหาเรื่อง "ถามไม่ตรงคำตอบ" ก็คงไม่เกิด

แต่เมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจและการบริหารรา ชการแผ่นดินทั้งปวง โดยมีประชาชนเป็นหุ้นส่วนของประเทศ มีสื่อมวลชนเป็นสื่อกลางที่ต้องซักถามและตรวจสอบ มีกลไกทางการเมืองต่างๆ ทำหน้าที่ดุลและคานอำนาจ ก็จะต้องยอมรับกติกาและเคารพในการทำหน้าที่ของฝ่ายต่ าง ๆ
(ที่มา:เรื่องเด่นประเด็นดัง เวบบอร์ด sanook.com)
สืบเนื่อง มาจากข่าว การให้สัมภาษณ์ของท่านายก กับสื่อมวลชน เรื่องการให้ความช่วยเหลือ อดีต นายกทักษิณ ชินวัตร ให้ได้เข้าประเทศ ญี่ปุ่น แต่คำตอบที่ได้มาไม่ตรงกับคำถามของสื่อ และใช้วิธีการหลีกเลี่ยง ไม่ตอบคำถาม ของสือ แทน จริงๆแล้ว มันก้มองกันได้หลายมุม เพราะบางที การพูดมากไปก้คงไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวท่านเอง ก้คงต้องอยู่ที่การคิดของผู้เสพสื่อนะคะ บางครั้งเราอาจต้องให้เวลารัฐบาล  มีบางคนบอกว่า การโต้ตอบคำถามของนักข่าวปัจจุบันนี้ก็ต้องไปพิจารณาอีกด้วยว่า ช่องไหน? และคำถามสื่อไปยังอะไร??? เพราะใช่ว่า...นักข่าวจะตั้งถามที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติทุกคน ประเภท ถามเสี้ยมให้โจมตีฝ่ายตรงข้าม หรือ ถามเอาคำตอบจากข้อมูลข่าวลือ ฉนั้น การที่ นายกฯ จะเลือกตอบเฉพาะบ้างคำถามของนักข่าวได้ก้คงจะไม่ผิด บ้างก้คิดว่า นายกฯ มีหน้าที่บริหารประเทศ ไม่ใช่มีหน้าที่มานัั่่งตอบคำถามนักข่าวให้สวยนะ  หรือท่านชอบนายกแบบ ดีแต่พูด ???อือมม ก้ว่ากันไป ตามแต่ทัศนคติที่มีต่อนโยบายของรัฐบาล จะให้บวก หรือลบ ต้องดูต่อไป ..

บางช่วงของข่าวจาก http://www.dailyworldtoday
“เรื่องท่านนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ดิฉันรู้ดีว่าต้องเจอแรงกดดันและมีคำถามที่เกี่ยวข้อง แต่พร้อมรับฟังและพร้อม พิสูจน์เรื่องต่างๆ ไม่เคยเบื่อที่จะต้องชี้แจง และไม่ขอเข้าไปแทรกแซงกระบวนการใดๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานดำเนินการไป ส่วนนโยบายในการติดตามเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับท่านนายกฯทักษิณ รัฐบาลชุดนี้จะให้เป็นเรื่องของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง แทรกแซง อย่างเรื่องวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นที่เป็นข่าว ดิฉันยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เท่าที่ทราบเป็นฝ่ายเอกชนที่เขาเรียนเชิญท่านอดีตนายกฯทักษิณไปบรรยาย ตั้งแต่ก่อนดิฉันจะมาเป็นรัฐบาลเสียอีก เรื่องการอนุญาตให้เข้าประเทศเป็นเรื่องของทางการญี่ปุ่นจะเป็นผู้พิจารณา เอง ใครจะเข้าไปแทรก แซงไม่ได้อยู่แล้ว ดิฉันเรียนว่าไม่มีนโยบายทำอะไรพิเศษเพื่อท่านนายกฯทักษิณคนเดียวอยู่แล้ว”
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันกรณีรัฐบาลญี่ปุ่นให้วีซ่าเป็นกรณีพิเศษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดเดินทางวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่น จากนั้นวันที่ 23 สิงหาคมจะไปบรรยายเรื่อง “ประชาธิปไตยไทย” ที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของญี่ปุ่น และบรรยายเรื่อง “รูปแบบและบทบาทของเศรษฐกิจโลก” ที่สถาบันเจแปน-ไชน่า อาเซียน ออฟ อีโคโนมี ส่วนวันที่ 24 สิงหาคม จะไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยทามาและบรรยายเรื่อง “ปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิ” จากนั้นวันที่ 25-26 สิงหาคมจะเดินทางไปดูที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ

สามารถอ่านเนื้อหาข่าว เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพิ่มเติมได้ คงต้องติดตามทางหนังสือแต่ละฉบับกันดู ชอบสไตล์ไหนก้เลือกกันไปนะคะ

สุดยอดนางแบบร่างยักษ์



 โอ้วววว์ ว้าาาว แม่เจ้า คนอะไรจะสูงใหญ่ ได้ใจขนาดนี้  เห็นแล้วต๊กกะใจ เลยอยากเอามาให้เพื่อนๆ ได้ยลโฉม นางแบบร่างยักษ์ แต่สวย อิอิ..สาวไทยจะมีไหมหนอ ??

.Amazon Eve นางแบบร่างยักษ์ สูงที่สุดในโลก
.
….. อเมซอน อีฟ (Amazon Eve) นางแบบสูงที่สุดในโลก เธอคือ นางแบบที่มาจากแคลิฟอร์เนีย โดยสูงถึง 6 ฟุต 8 นิ้ว โดยเธอได้รับการยอมรับจาก กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด ให้เป็นนางแบบที่สูงที่สุดในโลก ถ้ายืนเทียบกับนางแบบทั่วไปแล้ว เธอจะมีความสูงเกือบ 2 เท่าตัวเลยทีเดียวค่ะ

…..แต่ด้วยความสูงที่เกินกว่าลักษณะของผู้หญิงทั่วไปแล้ว จึงทำให้ใครหลายคน คิดว่า อเมซอน อีฟ (Amazon Eve) เป็นผู้ชายแปลงเพศมา อ๊ะๆๆ เธอมีหลักฐานพิสูจน์นะคะ ว่าเธอน่ะ ผู้หญิงแท้ 100 % ค๊า…
…..อเมซอน อีฟ (Amazon Eve) เป็นที่รู้จักครั้งแรกก็นิตยสาร Zoo Weekly ของออสเตรเลียนี่แหละค่ะ ทำให้เธอเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก แต่ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นที่รู้จักดี ในฐานะนางแบบที่สูงที่สุดในโลก เธอก็ยังคงทำงานที่เธอรักและชื่นชอบต่อไป ในศูนย์ออกกำลังกาย ด้วยการเป็นเทรนเนอร์ และนักสรีรวิทยาอีกด้วย


ขอบคุณ ข้อมูล Women.Mthai
ภาพจาก http://www.flickr.com/photos/amazoneve/

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Joke About Sex

Welcome to Manly jokes for Manly Men
ก๊อปมาให้ได้อ่านกัน เห็นว่า ฮา ดี อ่ะค่าา ขอบคุณสำหรับ อ.ไก่ ค่ะ

สามี : สะกิดภรรยาแล้วบอกว่า “เรามาปรองดองกันดีกว่านะ…อิอิ” 

ภรรยา : วันนี้ฉันเหนื่อยไม่มีอารมณ์ปรองดองด้วย

สามี : พูดด้วยอารมณ์ไม่สมหวัง “ฉันให้เวลาเธอ 30 นาที ถ้าเธอไม่พร้อม 
         ฉันพร้อมอาวุธประจำกาย จะขอบุกเพื่อขอคืนพื้นที่ 

ภรรยา : ถ้าเธอจะบุกเพื่อขอคืนพื้นที่ในคืนนี้ ก็จะมีแต่ความเสียหายทั้งสองฝ่า
           เพราะว่าคืนนี้พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่สีแดงมา 2 วัน แล้วยังไม่ถูกยกเลิกเลย. 

สามี : งั้นดีแล้ว คืนนี้ ฉันจะออกไปข้างนอก ไปขอกระชับพื้นที่กับ กองกำลังไม่ทราบฝ่าย…อิอิ

5555555+  

One evening after a few drinks at the local tavern, two buddies named Kirk and Bernie started discussing their wives. Quickly the conversation moved on to orgasms.
Bernie asked Kirk, "Did you know that there are four different types of orgasms?"

Kirk replied, "Really? I had no idea. What are they?"

Bernie answered, "Well, they are the Positve, Negative, Religious, and the Fake."

"What's the difference? asked Kirk.
Bernie replied, "The Positive goes, 'Oh yes! Ooh yes!' 
The Negative goes, 'Oh no! Oh no!'
The Religious goes, 'Oh God! Oh God!'
And, the Fake one goes, 'Oh Kirk! Oh Kirk!" 




Cindy and Sally meet at their 30th class reunion, and they hadn't seen each other since graduation. They begin to talk and bring each other up to date. The conversation covers their husbands, their children, homes, etc. and finally gets around to their sex lives.
Cindy said, "It's okay. We get it on every week or so but it's no big adventure. How's yours?"
Sally replied, "It's just great, ever since we got into S & M."
Cindy is aghast. "Really Sally! I never would have guessed that you would go for that sort of thing."

"Oh, sure," says Sally. "He snores while I masturbate." 

http://manlyjokes.tripod.com

ต้นไม้มงคลกับราศี

ครั้งก่อนนำเสนอ เรื่องบนเตียงของสาวราศีต่างๆ ไปแล้ว คราวนี้เรามาดูเกี่ยวกับเรื่องมลคลๆ บ้างดีกว่า เป็นเรื่องของต้นไม้มงคล กับ ราศีเกิดของแต่ละท่าน มาดูสิว่า ราศีเกิดของเราจะตรงกับต้นไม้ชนิดไหน อย่างไร 

วิวัฒนาการ ยุคไฮเทค อินเตอร์เนต ทำให้วิถีชีวิตของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว จนต้องละทิ้งความเป็นอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อรับสิ่งอื่นที่ดูแปลกใหม่น่าสนใจ โดยไม่ได้คำนึงว่าจุดเด่นจุดดับนั้นจะมีผลแค่ไหน และอย่างไร การจัดสวนตามอาคาร สถานที่ ตลอดถึงบ้านที่อยู่อาศัย ต้นไม้สายพันธุ์ต่างประเทศ ถูกนำเข้ามาเบียดพื้นที่ ของพันธุ์ไม้มงคลเกือบหมดวิถีชีวิตวัฒนธรรมไทยค่อยๆ เลือนหาย ไปด้วยสมัยนิยมพันธุ์ไม้ต่างประเทศที่เน้นเอาความสวยงาม ส่วนเรื่องประโยชน์ในการใช้สอย นั้นแทบไม่มี ต้นไม้นำความร่มรื่น ป้องกันแสงแดด และช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของไทยยังเน้นถึงประโยชน์ ความมีคุณค่า และสร้างความเชื่อถือสืบมาเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านของท้องถิ่นนั้น (ข้ออ้างอิงต่อไปนี้ จากพรหมชาติฉบับหลวง)

ป๊ยเซียน
ราศีมังกร (16 ม.ค.-15 ก.พ.)
 
ชาว ราศีมังกรเป็นธาตุดิน ไม้มงคลที่ชาวราศีมังกรควรปลูกคือ แก้ว วาสนา โป๊ยเซียน และกุหลาบ เพื่อเสริมความร่ำรวย รุ่งเรือง ทำให้เกิดโชคลาภ วาสนา ให้กับตนเอง และเพื่อเสริมความมั่นคงแก่ลูกหลาน นอกจากนี้แล้วยังมี ไม้มงคลเพื่อเสริมดวงชะตาให้กับผู้ที่เกิดราศีมังกร คือ ไผ่ ซึ่งแสดงถึงความอดทนความเป็นนักสู้ ราชพฤกษ์ดอกสีเหลืองของราชพฤกษ์เปรียบได้กับความรุ่งเรืองดั่งทอง และต้นจำปี ไม้เหล่านี้จะให้ความร่มเย็น และต้นไม้เหล่านี้ห้ามปลูกตรงทางเข้าประตูรั้วด้านหน้า เพราะถือว่าเป็นการทำให้ปากมังกรอับจน ควรจะปลูกด้านข้าง หรือ ด้านหลัง หรือบริเวณรอบ 

เฟื้องฟ้า
ราศีกุมภ์ (16 ก.พ.-15 มี.ค.)

ไม้ มงคลของชาวราศีกุมภ์ เป็นอิทธิพลของธาตุไฟผสมกับธาตุทอง ซึ่งบ่งบอกพลังที่ฟุ้งและสร้างสรรค์ มั่นคงประดุจดั่งทองคำ ซึ่งต้นไม้ที่ควรปลูกได้แก่ ต้นเข็ม เฟื้องฟ้า หรือบอนไซ ไว้บริเวณสวนหน้าบ้าน โรงงาน หรือร้านค้าของตน เพื่อเป็นศิริมงคลให้เกิดความมั่นคั่ง รุ่งเรือง และมีชีวิตที่ยืนยาว เข็ม เพื่อเสริมพลังความฉลาดเฉียบแหลมของผู้เกิดราศีกุมภ์ เฟื่องฟ้า เป็นพรรณไม้ที่สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น และเมื่อดอกเฟื้องฟ้าบาน เชื่อว่าจะแสดงถึงชีวิตที่สดใสเบิกบาน สว่าง รุ่งเรือง และความก้าวไกลแห่งชีวิต บอนไซ แสดงถึงความแข็งแกร่ง อดทน สามารถทนอยู่ได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ สมกับเป็นพรรณไม้ของชาวราศีกุมภ์

ต้นกล้วยไม้
ราศีมีน (16 มี.ค.-15 เม.ย.)

ชาว ราศีมีนเป็นคนธาตุน้ำ ไม้มงคลที่ช่วยเสริมโฉลก เสริมความร่ำรวย คือ ต้นเฟื่องฟ้า ต้นกล้วยไม้ ต้นวาสนา ไม้ที่ช่วยเสริมความร่ำรวย รุ่งเรือง และให้โชคลาภกับผู้เกิดราศีมีน คือ กล้วยไม้ คนโบราณเชื่อว่า กล้วยไม้ จะทำให้เกิดความประทับใจแก่บุคคลทั่วไป ทำให้คนในบ้านมีจริยธรรม เหมาะกับผู้ปลูกที่มีอุปนิสัยเยือกเย็นอ่อนโยน เฟื่องฟ้าแสดงถึงชีวิตที่รุ่งเรือง สดใสเบิกบาน ต้นวาสนา ทำให้ผู้ปลูกมีบุญ มีโชควาสนาที่ประเสริฐ เกิดความสุข สมหวัง ถือเป็นไม้เสี่ยงทาย ถ้าสามารถปลูกได้สวยงามและออกดอก เชื่อว่าจะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้ดังหวัง ส่วนไม้ที่ให้พลังอำนาจแก่ชาวราศีมีน เช่น โมก กล้วย มะม่วง จะช่วยเสริมบารมีคุ้มครองบริวารและลูกหลานเช่นกัน

ต้นมะขาม
ราศีเมษ (16 เม.ษ.-15 พ.ค.)
 
ชาว ราศีเมษเป็นคนธาตุไฟ ไม้มงคลของชาวราศีเมษ คือ ต้นมะยม เพื่อให้คนนิยมชมชอบ ต้นมะขาม เพื่อให้ผู้คนเกรงขาม และต้นเฟื่องฟ้า เพื่อความร่ำรวย มะยม และ มะขาม ต้นไม้ทั้งสองนี้จะเป็นพลังช่วยหนุน ให้ชาวราศีเมษประสบความสำเร็จในชีวิต และในหน้าที่การงาน มะยม ปลูกแล้วจะทำให้มีคนนิยมชมชอบ มีเมตตามหานิยม สำหรับมะขามจะทำให้มีแต่ผู้คนเกรงขาม ให้ความนับถือ นอกจากนี้ยังมีต้นเฟื้องฟ้าที่จะทำให้ชาวราศีเมษมีชีวิตที่รุ่งเรือง สว่างไสว และสดใสเบิกบาน

ต้นส้มโอ
ราศีพฤษภ (16 พ.ค.-15 มิ.ย.)
 
ชาว ราศีพฤษภเป็นคนธาตุดิน ไม้มงคลที่ปลูกเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ต้องเป็นไม้จำพวกธาตุทอง คือ ต้นโมก ต้นแก้ว และต้นส้มโอ ดอกสีขาวของโมกจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์สดใส และโบราณยังเชื่อว่าต้นโมกสามารถคุ้มกันรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภายนอก และควรปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้านและควรปลูกในวันเสาร์ แก้ว จะทำให้มีโชคมีลาภ คนในบ้านจะมีความดี มีคุณค่าสูง ควรปลูกทางทิศ ตะวันออกและควรปลูกในวันพุธ ส้มโอ เป็นต้นไม้ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์

ต้นกุหลาบ
ราศีเมถุน (16 มิ.ย.-15 ก.ค.)

 
ชาว ราศีเมถุน เป็นคนธาตุดิน ไม้มงคลจะต้องเป็นไม้มงคลของธาตุไฟ ซึ่งได้แก่ ต้นกุหลาบ ต้นโป๊ยเซียน ต้นโมก ต้นทับทิม และต้นเข็ม โมกจะทำให้เกิดความสุข ความบริสุทธิ์ และความสดใส เข็ม ควรปลูกเป็นร่องตรงประตูบ้าน หรือสองฝากทางเข้าบ้านจะทำให้ชะตารุ่งเรือง อุปสรรคและปัญหาไม่กล้ำกลาย ทับทิม เพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็นของชีวิต โป๊ยเซียน ถือเป็นไม้เสี่ยงทาย ถ้าปลูกออกดอกได้มากกว่า 8 ดอก ผู้ปลูกและคนในบ้านจะมีโชคลาภ และยังเชื่อว่าโป๊ยเซียนช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข กุหลาบ หากปลูกไว้ประจำบ้าน จะเกิดความสง่าภาคภูมิ จะทำให้คนในบ้านมีคุณค่าแห่งชีวิตที่สูง

ต้นวาสนา
ราศีกรกฎ (16 ก.ค.-15 ส.ค.)
 
ชาว ราศีกรกฎเป็นธาตุน้ำ ไม้มงคล คือ ต้นชมพู่ ต้นวาสนา ให้วาสนาสูงส่ง ต้นพลูด่าง เฟื่องฟ้า และกล้วยไม้ กล้วยไม้ เป็นไม้ดอกที่ให้โชคลาภและเหมาะกับผู้ปลูกที่มีอุปนิสัยเยือกเย็นอ่อนโยน เช่นชาวราศีกรกฎ กล้วยไม้จะออกดอกต้องได้รับการดูแลด้วยความหมั่นเพียร ดอกที่สวยงาม จะทำให้เกิดความประทับใจแก่ผู้พบเห็น และเชื่อว่าจะ ทำให้คนในบ้านมีจริยธรรม ชมพู่ ช่วยให้อุดมทรัพย์ มั่งมีเงินทอง วาสนา ทำให้ผู้ปลูกมีบุญ มีโชควาสนาที่ประเสริฐ เกิดความสุข สมหวัง พลูด่าง นำพามาซึ่งความร่มเย็น เป็นสุข เฟื่องฟ้าจะช่วยเสริมให้ชีวิตสดใสเบิกบาน

ต้นหมากแดง
ราศีสิงห์ (16 ส.ค.-15 ก.ย.)


ชาว ราศีสิงห์เป็นคนธาตุไฟ ไม้มงคลควรเป็นต้นไม้ที่เกิดความร่มรื่น คือ กล้วยไม้ ต้นกล้วย ต้นปาล์ม ต้นหมากแดง ต้นไทร ต้นโมก และ ขนุน ซึ่งนับได้ว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งของคนไทย ตามโบราณเชื่อกันว่า การปลูกต้นขนุนในบริเวณบ้านจะหนุนเนื่อง บุญบารมี เงินทอง มีคนเกื้อหนุน และอุดหนุนจุนเจือ จำปี ดอกสีขาวบริสุทธิ์มีกลิ่นหอม จะทำให้ชีวิตสดใสการงานก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ควร มีแต่ความรุ่งเรือง ปราศจากปัญหาใดๆ โป๊ยเซียน เพื่อเสริมความร่ำรวย รุ่งเรือง เป็นไม้เสี่ยงทาย เชื่อว่าถ้าออกดอก 8 ดอกแล้วจะทำให้มีโชคลาภ กล้วยไม้ ดอกสวยของกล้วยไม้ย่อมเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น จึงถือเคล็ดที่ว่าการปลูกกล้วย

ต้นมะยม
ราศีกันย์ (16 ก.ย.-15 ต.ค.)

 
ชาว ราศีกันย์เป็นคนธาตุดิน ไม้มงคลคือ สนฉัตร ต้นคูน หรือต้นราชพฤกษ์ เฟื่องฟ้า โป๊ยเซียน ขนุน มะยม สนฉัตร ทำให้มีเกียรติและความสง่า ได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไป ควรปลูกทางทิศเหนือและปลูกในวันเสาร์เพื่อเป็นศิริมงคล ราชพฤกษ์ ปลูกไว้จะช่วยเสริมให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและบารมี เฟื่องฟ้าทำให้เกิดความสดใส เบิกบาน มีชีวิตที่เฟื่องฟู โป๊ยเซียนจะนำมาซึ่งโชคลาภ ขนุน เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งของคนไทย การปลูกต้นขนุนบริเวณบ้านจะหนุนเนื่อง บุญบารมี เงินทอง จะมีคนเกื้อหนุน และอุดหนุนจุนเจือช่วยเหลือ ขนุนจึงเหมาะกับผู้ที่เกิดราศีกันย์ มะยม ปลูกแล้วผู้คนจะได้นิยมชมชอบนับหน้าถือตา
ราศีตุลย์ (16 ต.ค.-15 พ.ย.)         ต้นโกสน

 
ชาว ราศีตุลย์เป็นธาตุลม ไม้มงคล คือ ต้นโกสน หมากแดง ปาล์ม จำปี จำปา พลูด่างและเฟิร์นข้าหลวง หมากแดง ปาล์ม พลูด่าง โกสน ปลูกไว้จะช่วยเสริมให้มีบุญบารมี ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข จำปี ดอกสีขาวบริสุทธิ์มีกลิ่นหอม จะทำให้ชีวิตสดใสการงานก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ควร มีแต่ความรุ่งเรือง ปราศจากปัญหาใดๆ จำปา ดอกไม้ที่ใช้แสดงถึงความรักมาแต่โบราณ การปลูกจำปาก็เพื่อแสดงถึงความรักต่อผู้อื่นและเพื่อให้มีแต่คนรัก เฟิร์นข้าหลวง จะนำมาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศแก่ผู้ปลูก

พวงแสด
ราศีพิจิก (16 พ.ย.-15 ธ.ค.)
 
ชาว ราศีพิจิกเป็นคนธาตุน้ำ ไม้มงคลต้องเป็นไม้ประเภทธาตุทอง ได้แก่ พวงแสด เฟื่องฟ้า ว่านสี่ทิศ ปาล์ม เบญจมาศ ขนุน และว่านสี่ทิศ พวงแสด ปาล์ม เฟื่องฟ้า แสดงถึงชีวิตที่สว่างไสวรุ่งเรือง สดใสเบิกบาน เบญจมาศ ช่วยให้รุ่งเรืองมั่นคง ขนุน ช่วยให้เกิดความรุ่งเรืองมั่นคง เป็นไม้มงคลแต่โบราณ เชื่อกันว่า การปลูกต้นขนุนในบริเวณบ้านจะช่วยหนุนเนื่อง บุญบารมี เงินทอง จะมีคนเกื้อหนุน และอุดหนุนจุนเจือ ว่านสี่ทิศ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ต่างถิ่น ในทิศใดก็จะแคล้วคลาด ปลอดภัย และมีแต่ผู้ให้ความช่วยเหลือ ..........เอ้าา รู้กันแบบนี้แล้ว เรารีบไปหาต้นไม้มงคล ประจำราศีเกิด ของเรามาปลูกไว้เพื่อความเป็นศิริมงคลกับชีวิตกันดีกว่า นะคะ ขอขอบคุณข้อมูล จาก http://www.horasaadrevision.com